แนะนำการปลูกผักในน้ำ
นวัตกรรมเพื่อการเพาะปลูกรางวัล 'บิล เกตส์'
15.1.57
นักประดิษฐ์ชาวบราซิล พัฒนาระบบเพาะเมล็ดพืชแนวใหม่ ที่ช่วยเพิ่มผลผลิต และเหมาะแก่การทำการเกษตรแบบยั่งยืน โดยนวัตกรรมดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ "บิล แอนด์ เมลินดา เกตส์" ท่ามกลางความหวังในการยกระดับการเพาะปลูกในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก นวัตกรรมนี้มีความพิเศษอย่างไร
เมล็ดพันธุ์พืชจำนวนมาก ถูกนำมาเทกองรวมกันในห้องทดลองของผู้ประกอบการชาวบราซิล ก่อนนำไปดัดแปลง และปรับใช้กับระบบเพาะปลูกพืชแนวใหม่ ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการเกษตร โดยเฉพาะการทำฟาร์มขนาดเล็กทั่วโลกในอนาคต
นวัตกรรมดังกล่าวมีระบบการทำงานเรียบง่าย เพียงแค่นำเมล็ดพันธุ์พืชที่เตรียมไว้ มาจัดวางเรียงกันบน
เทปเซลลูโลส
ในระยะห่างที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิด
จากนั้น เกษตรกรสามารถนำเทปเซลลูโลสนี้ไปฝังกลบบนแปลงเพาะปลูกได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรให้สิ้นเปลืองเงินทองแต่อย่างใด
นายมัทเธอุส มาร์ราฟอน นักปฐพีวิทยา และผู้ประกอบการวัย 29 ปี
ซึ่งเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมนี้ เปิดเผยว่า หัวใจสำคัญของนวัตกรรมดังกล่าว คือ การจัดวางระยะห่างของเมล็ดพันธุ์พืชที่เหมาะสม ทำให้พืชสามารถเจริญงอกงามได้อย่างเต็มที่หลังเติบโตออกมาเป็นต้นแล้ว
สิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นขึ้นนี้ มาจากแรงบันดาลใจในการช่วยมารดาทำฟาร์มขนาดเล็กของครอบครัว ซึ่งนอกจากจะลดปัญหาเรื่องการใช้เครื่องจักร และทำให้การเพาะเมล็ดมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว แผ่นเซลลูโลสที่ใช้ยังมีคุณสมบัติในการเก็บกักน้ำ และความชื้น ทำให้เมล็ดพืชเติบโตได้ดี ทั้งยังช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชกัดกินเมล็ด และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ถือเป็นหนึ่งในการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายมาร์ราฟอนระบุว่า นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ จะทำให้อัตราความสำเร็จในการเพาะเมล็ดพันธุ์มีมากขึ้น และจะทำให้ผลผลิตของฟาร์มขนาดเล็ก และฟาร์มแบบครัวเรือนเพิ่มขึ้นได้มากถึงร้อยละ 50
นวัตกรรมนี้ได้รับการคัดเลือกจาก
มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์
เมื่อปลายปีที่แล้ว ให้ได้รับเงินสนับสนุนจำนวน 1 แสนดอลลาร์ หรือกว่า 3 ล้านบาท ท่ามกลางสิ่งประดิษฐ์อื่นๆที่ยื่นขอเงินทุนจากมูลนิธิทั้งหมด 2,700 ราย ขณะที่นายมาร์ราฟอน เปิดเผยว่า เขาจะใช้เงินที่ได้เพื่อนำนวัตกรรมของเขาไปปรับปรุง และทดลองใช้กับสถานที่จริงในทวีปแอฟริกา
ขณะเดียวกัน หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์ ซึ่งก่อตั้งโดยเศรษฐีใจบุญผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ยังมีแผนมอบเงินก้อนใหม่ให้เขา เพื่อนำไปใช้ปรับปรุง และพัฒนาดีไซน์ในขั้นตอนต่อไปอีกเป็นจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 30 ล้านบาท
กระทู้ปลูกผักของ ตู้ไฟ007
14.1.57
โดยพันทิพ เมื่อ 15 ม.ค.2557
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/10/J9802240/J9802240.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/10/J9812642/J9812642.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/11/J9956233/J9956233.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/11/J9975099/J9975099.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/12/J10017583/J10017583.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2011/01/J10105462/J10105462.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2011/02/J10285791/J10285791.html
Read more ...
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/10/J9802240/J9802240.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/10/J9812642/J9812642.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/11/J9956233/J9956233.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/11/J9975099/J9975099.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/12/J10017583/J10017583.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2011/01/J10105462/J10105462.html
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2011/02/J10285791/J10285791.html
ข้อมูลของ เทปน้ำหยด
13.1.57
1. เทปน้ำหยด มีหลายขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ครับ 16, 18, 20, 22 มิลลิเมตร
โดยทั่วไปเป็นขนาด 16 มิลลิเมตร จ่ายน้ำให้ได้ประมาณ 1,000 - 1,500 ลิตร ต่อชั่วโมง
2. หัวน้ำหยดในเทป มีหลายรูปแบบ ให้ปริมาณน้ำได้ตั้งแต่ 0.5 - 2 ลิตร
3. ระยะความห่างของหัวน้ำหยด มีตั้งแต่ 10 - 60 ซม.
4. ความหนาของผนังเทป มีตั้งแต่ 0.15, 0.20, 0.25, 0.30, 0.35 มิลลิเมตร
5. ประเภทหัวน้ำหยด มีแบบที่ปรับแรงดัน เพื่อให้ได้น้ำที่สม่ำเสมอในพื้นที่ที่มีความลาดชันแตกต่างกัน และไม่ปรับแรงดัน ส่วนใหญ่เป็นประเภทนี้ครับ
6. ความสม่ำเสมอของปริมาณน้ำคือ % ของปริมาณน้ำที่ออกตลอดทั้งเส้นทั้งหัวแปลงท้ายแปลง โดยทั่วไปต้องไม่น้อยกว่า 90-95 % ตามสเปก
7. แรงดันที่ใช้งาน คือ แรงดันที่ทำให้เทปน้ำหยดทำงงานตามสเปกที่กำหนด ทั่วไปจะมีตั้งแต่ 0.3-1 Bar (1 Bar = 10 เมตร)
ทั้งนี้การเลือกใช้เทปน้ำหยดมีปัจจัยที่ควรคำนึงถึงหลักๆ คือ
1. พืชที่ปลูก
2.ประเภทของดิน
3.ลักษณะพื้นที่(สูงต่ำ)
4. ความสม่ำเสมอ
1. พืชที่ปลูก พืชผัก ควรใช้ระยะห่าง 10 -20 ซม., พืชไร่ 20 - 60 ซม.
2. ประเภทของดิน ดินทรายควรจะใช้หัวที่ถี่ ดินเหนียวควรจะใช้หัวที่ห่าง
3. ลักษณะพื้นที่ ถ้าเป็นพื้นที่ที่มี slope มาก ควรจะมีวางสั้น พื้นที่ราบก็วางได้ตามสเปกของแต่ละยี่ห้อ
ส่วนการคำนวณว่าจะวางเทปยาวเท่าใหร่นั้นมีหลักเปรียบเทียบง่ายๆ เช่น
1. ขนาดแปลงยาว 200 เมตร จะใช้เทปแบบไหนดี เปรียบเทียบเฉพาะปริมาณน้ำ กับระยะห่างนะครับ
เทปน้ำหยด หัวจ่าย 2 ลิตร/ชั่วโมง ระยะห่าง 60 ซม. ใช้มีหัวน้ำหยด 200/0.6= 333.33 หัว ให้ปริมาณน้ำได้ 667 ลิตร/ชั่วโมง
เทปน้ำหยด หัวจ่าย 1 ลิตร/ชั่วโมง ระยะห่าง 30 ซม. ใช้มีหัวน้ำหยด 200/0.3= 666.67 หัว ให้ปริมาณน้ำได้ 667 ลิตร/ชั่วโมง
ทั้งสองแบบให้ปริมาณน้ำที่เท่ากัน ครับ
แต่เรายังไม่ได้พูดถึงความสม่ำเสมอของน้ำที่จะออกนะครับว่าเป็นเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าแต่ละยี่ห้อไม่เท่ากันแน่นอนครับ
เราวางเทปยาวเท่าไหร่ก็ได้ครับ แต่ปริมาณน้ำที่ออกมันจะสม่ำเสมอหรือไม่
1. พืชที่ปลูก พืชผัก ควรใช้ระยะห่าง 10 -20 ซม., พืชไร่ 20 - 60 ซม.
2. ประเภทของดิน ดินทรายควรจะใช้หัวที่ถี่ ดินเหนียวควรจะใช้หัวที่ห่าง
3. ลักษณะพื้นที่ ถ้าเป็นพื้นที่ที่มี slope มาก ควรจะมีวางสั้น พื้นที่ราบก็วางได้ตามสเปกของแต่ละยี่ห้อ
ส่วนการคำนวณว่าจะวางเทปยาวเท่าใหร่นั้นมีหลักเปรียบเทียบง่ายๆ เช่น
1. ขนาดแปลงยาว 200 เมตร จะใช้เทปแบบไหนดี เปรียบเทียบเฉพาะปริมาณน้ำ กับระยะห่างนะครับ
เทปน้ำหยด หัวจ่าย 2 ลิตร/ชั่วโมง ระยะห่าง 60 ซม. ใช้มีหัวน้ำหยด 200/0.6= 333.33 หัว ให้ปริมาณน้ำได้ 667 ลิตร/ชั่วโมง
เทปน้ำหยด หัวจ่าย 1 ลิตร/ชั่วโมง ระยะห่าง 30 ซม. ใช้มีหัวน้ำหยด 200/0.3= 666.67 หัว ให้ปริมาณน้ำได้ 667 ลิตร/ชั่วโมง
ทั้งสองแบบให้ปริมาณน้ำที่เท่ากัน ครับ
แต่เรายังไม่ได้พูดถึงความสม่ำเสมอของน้ำที่จะออกนะครับว่าเป็นเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าแต่ละยี่ห้อไม่เท่ากันแน่นอนครับ
เราวางเทปยาวเท่าไหร่ก็ได้ครับ แต่ปริมาณน้ำที่ออกมันจะสม่ำเสมอหรือไม่
เทคนิคการบังคับให้มัลเบอร์รี่(หม่อน)ติดผล การบังคับให้หม่อนติดผลนอกฤดูกาล
2.1.57
ปัจจัยในการออกดอกของหม่อน
1. การสะสมความเย็นในระยะการเจริญเติบโตของพืช ทำให้มีผลต่อสรีระวิทยาของพืชเพื่อกระตุ้นการออกดอก หม่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนของฮอร์โมนพืชภายในลำต้นหม่อนเพื่อกระตุ้นให้มีการติดดอกออกผล
2. ผลกระทบของช่วงระยะเวลาของแสงที่มีต่อการเจริญเติบโตของพืช ทำให้มีผลต่อสรีระวิทยาของพืชเพื่อกระตุ้นการออกดอก
3. ความอุดมสมบูรณ์ของต้นหม่อน เป็นการสะสมสารอาหารต่าง ๆ ภายในลำต้นของหม่อนซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน เพื่อให้ผ่านระยะเวลาการเจริญเติบโตทางลำต้น (vegetative growth) เข้าสู่ระยะของการติดดอกออกผล (reproductive growth)
การเก็บเกี่ยวผลผลิตผลหม่อนโดยวิธีการธรรมชาติและจากผลพลอยได้จากการตัดแต่งกิ่งหม่อนแต่ละครั้งจึงยังให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการแปรรูปผลหม่อนด้านต่างๆ ดังนั้นการใช้วิธีการบังคับต้นหม่อนด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตผลหม่อนในปริมาณที่มาก และตามระยะเวลาที่ต้องการ จึงเป็นวิธีการที่น่าจะทำให้การผลิตผลหม่อนออกมาคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันมีการศึกษาในเรื่องการบังคับการติดดอกออกผลของหม่อนกันน้อยมากแต่ขณะนี้กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นการศึกษาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง การบังคับการอกดอกของหม่อนมีวิธีการดังนี้ คือ
1. การโน้มกิ่ง-เด็ดยอด-ริดใบ
ในลักษณะการโน้มกิ่งแบบโค้งยอดเข้าหาพื้นดิน วิธีการนี้เหมาะสำหรับการปลูกหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์ 60 แบบเดิม ที่มีระยะปลูก 0.75 x 2.00 -3.00 เมตร วิธีการบังคับจะทำการตัดต่ำหม่อนตามปกติ ในช่วงต้นฤดูปล่อยให้หม่อนเจริญเติบโตทางลำต้นไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ในช่วงนี้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตใบหม่อนได้ตามปรกติโดยวิธีการเก็บใบ แต่ต้องระวังไม่ให้มีการกระทบกระเทือนต่อตาข้างของหม่อน และเมื่ออายุกิ่งหม่อนครบ 6 เดือน ก็เริ่มทำหารริดใบหม่อนที่เหลืออกให้หมด จากนั้นจึงโน้มกิ่งเข้าหากันลักษณะแถวต่อแถว โดยใช้เชือกฟางผูกติดกิ่งหม่อนแถวหนึ่งเข้ากับอีกแถวหนึ่ง ทำให้มองดูเหมือนอุโมงค์ ซึ่งทำให้ความสูงของอุโมงค์สูงประมาณ 1.50 เมตรจากพื้นดิน
ทำการตัดยอดกิ่งหม่อนออกให้หม่อนทุกกิ่งโดยการตัดไม่ให้ล้ำยื่นออกไปจากแนวแถวหม่อนเดิมเพื่อไม่ให้กีดขวางการปฏิบัติงานระหว่างแถวหม่อน หลังจากบังคับทรงพุ่มแล้วปล่อยให้หม่อนเจริญเติบโตตามปรกติ ซึ่งหม่อนจะมีการแตกตาข้างออกมาเกือบทุกตาพร้อมกับมีการแทงช่อดอกออกมาตามบริเวณที่แตกยอกออกมาใหม่ ตาดอกจะเริ่มทยอยบาน ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดตาดอก ซึ่งมีประมาณ 3-6 ตาต่อยอดใหม่ที่ตากออกมา ในลักษณะเช่นนี้หม่อน 1 ต้น จะให้ผลผลิตผลหม่อนประมาณ 400-500 ผล และให้ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 300-400 กิโลกรัม
สำหรับหม่อนพันธุ์ บุรีรัมย์ 60 โดยมีระยะเก็บเกี่ยวหลังจากดอกบานประมาณ 60-90 วัน วิธีการเช่นนี้สามารถแบ่งแปลงหม่อนบังคับทรงพุ่มต่างเวลากันเพื่อขยายระยะเวลาการให้ผลผลิตผลหม่อนได้ยาวนานขึ้น โดยสามารถโน้มกิ่งหม่อนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือน 7 เดือน 8 เดือน และ 9 เดือน ก็จะมีผลผลิตผลหม่อนตั้งแต่ เดือนธันวาคม จนถึง เดือนเมษายน ของแต่ละปีแต่ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำฝนในแต่ละปีด้วย หากมีปริมาณน้ำฝนมาก ควรยึดระยะเวลาในการโน้มกิ่งให้ช้าลง
2. การโน้มกิ่งหม่อนที่ปลูกแบบทรงพุ่ม
เป็นวิธีการบังคับทรงพุ่มหม่อนที่ปลูกแบบไม้ผลที่มีระยะปลูก ประมาณ 2 x 2 หรือ 4 x 4 เมตร ขึ้นไป เป็นการปลูกแบบไม่มีการตัดแต่งกิ่งแต่ทำการบังคับให้ทรงพุ่มสูงจากพื้นดิน 1.50 เมตร เมื่อหม่อนแตกกิ่งกระโดงใหม่ขึ้นมาในแต่ละปีก็จะทำการโน้มกิ่งให้ปลายยอดขนานกับพื้นดิน และก่อนจะโน้มกิ่งจะต้องริดใบหม่อนออกให้หมดก่อนพร้อมทั้งตัดยอดส่วนที่เป็นกิ่งสีเขียวออกยาวประมาณ 30 เซนติเมตรออกก่อน วิธีการโน้มกิ่งสามารถกระทำได้หลายวิธี คือ
2.1 โดยใช้ลวด หรือเชือกผูกโยงติดไว้กับกิ่งที่อยู่ข้างล่างหรือพื้นดินโดยใช้หลักไม้ไผ่ปักไว้บนพื้นดินสำหรับยึดเชือกหรือลวดไว้
2.2 ใช้ไม้ไผ่ล้อมเป้นคอกไว้สูงจากพื้นดิน ประมาณ 1.50 เมตร แล้วโน้มกิ่งออกมาใช้เชือกผูกมัดติดไว้กับคอกที่ล้อมไว้
2.3 ทำราวเส้นลวดขึงขนานในระหว่างแถวของต้นหม่อนแล้วโน้มกิ่งให้ขนานกับพื้นดิน จากนั้นนำกิ่งหม่อนที่ตัดยอด ริดใบออกแล้วมามัดติดไว้กับราวเส้นลวด วิธีการสามารถเก็บเส้นลวดไว้ใช้งานได้นานหลายปี
ส่วนระยะเวลาขอบการโน้มกิ่งจะอยู่ในช่วง เดือน กันยายน – เดือนมกราคม ในปีถัดไปแล้วแต่ว่าจะเลือกให้หม่อนติดดอกออกผลในช่วงระยะเวลาไหน ซึ่งปกติจะสามารถเก็บเกี่ยวผลหม่อนได้หลังจากทำการโน้มกิ่งประมาณ 60 วัน และมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลหม่อน ประมาณ 30 วัน อนึ่งสำหรับหม่อนที่ปลูกในสภาพพื้นที่สูบงที่มีอากาศหนาวเย็นมากการเก็บเกี่ยวและการติดตาดอกออกผลจะช้าออกไปประมาณ 1 เดือน ตามขนาดของความหนาวเย็น
2. การโน้มกิ่งหม่อนที่ปลูกแบบทรงพุ่ม
เป็นวิธีการบังคับทรงพุ่มหม่อนที่ปลูกแบบไม้ผลที่มีระยะปลูก ประมาณ 2 x 2 หรือ 4 x 4 เมตร ขึ้นไป เป็นการปลูกแบบไม่มีการตัดแต่งกิ่งแต่ทำการบังคับให้ทรงพุ่มสูงจากพื้นดิน 1.50 เมตร เมื่อหม่อนแตกกิ่งกระโดงใหม่ขึ้นมาในแต่ละปีก็จะทำการโน้มกิ่งให้ปลายยอดขนานกับพื้นดิน และก่อนจะโน้มกิ่งจะต้องริดใบหม่อนออกให้หมดก่อนพร้อมทั้งตัดยอดส่วนที่เป็นกิ่งสีเขียวออกยาวประมาณ 30 เซนติเมตรออกก่อน วิธีการโน้มกิ่งสามารถกระทำได้หลายวิธี คือ
2.1 โดยใช้ลวด หรือเชือกผูกโยงติดไว้กับกิ่งที่อยู่ข้างล่างหรือพื้นดินโดยใช้หลักไม้ไผ่ปักไว้บนพื้นดินสำหรับยึดเชือกหรือลวดไว้
2.2 ใช้ไม้ไผ่ล้อมเป้นคอกไว้สูงจากพื้นดิน ประมาณ 1.50 เมตร แล้วโน้มกิ่งออกมาใช้เชือกผูกมัดติดไว้กับคอกที่ล้อมไว้
2.3 ทำราวเส้นลวดขึงขนานในระหว่างแถวของต้นหม่อนแล้วโน้มกิ่งให้ขนานกับพื้นดิน จากนั้นนำกิ่งหม่อนที่ตัดยอด ริดใบออกแล้วมามัดติดไว้กับราวเส้นลวด วิธีการสามารถเก็บเส้นลวดไว้ใช้งานได้นานหลายปี
ส่วนระยะเวลาขอบการโน้มกิ่งจะอยู่ในช่วง เดือน กันยายน – เดือนมกราคม ในปีถัดไปแล้วแต่ว่าจะเลือกให้หม่อนติดดอกออกผลในช่วงระยะเวลาไหน ซึ่งปกติจะสามารถเก็บเกี่ยวผลหม่อนได้หลังจากทำการโน้มกิ่งประมาณ 60 วัน และมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลหม่อน ประมาณ 30 วัน อนึ่งสำหรับหม่อนที่ปลูกในสภาพพื้นที่สูบงที่มีอากาศหนาวเย็นมากการเก็บเกี่ยวและการติดตาดอกออกผลจะช้าออกไปประมาณ 1 เดือน ตามขนาดของความหนาวเย็น
การปลูกมัลเบอร์รี่ (หม่อนผลสด)
2.1.57
ระยะปลูก อาจปลูกเป็นแถว แต่ละต้นห่างกัน 4 เมตร เพื่อเผื่อรัศมีทรงพุ่มไว้อย่างน้อย 2.00 เมตร หรือจะปลูกในแปลงพื้นที่สี่เหลี่ยมด้วยระยะปลูก 4.00 x 4.00 เมตรก็ได้
การเตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมลึก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10 กิโลกรัมต่อหลุม ใส่ปูนโดโลไมท์หรือปูนขาว ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อหลุม และปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัมต่อหลุม หรือจะให้แม่นยำต้องใส่ตามค่าการวิเคราะห์ดิน คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกลบหลุมด้วยหน้าดินให้พูนเล็กน้อย
วิธีการปลูก ขุดดินบนหลุมที่เตรียมไว้ให้ลึกพอประมาณ แล้วนำต้นหม่อนที่เตรียมไว้ด้วยวิธีการต่างๆลงปลูกกลบดินให้แน่น
การบังคับทรงต้น ต้นหม่อนที่ปลูกจากกิ่งชำชนิดล้างราก หรือชนิดชำถุง หรือปลูกด้วยท่อนพันธุ์จากกิ่งพันธุ์โดยตรง เมื่อต้นหม่อนเจริญเติบโตได้ประมาณ 6-12 เดือน จะต้องบังคับทรงพุ่มโดยตัดแต่งกิ่งให้เหลือเพียงกิ่งเดียวไว้เป็นต้นตอ มีความสูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร จากพื้นดิน ปล่อยให้หม่อนแตกกิ่งใหม่หลายๆกิ่ง เก็บกิ่งที่สมบูรณ์ไว้ กิ่งที่ไม่สมบูรณ์ให้ตัดทิ้งเพื่อให้ด้านล่างโปร่ง ง่ายต่อการปฏิบัติดูแลรักษาด้านเขตกรรมต่างๆ เช่น การกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ย การพรวนดิน การตัดแต่งกิ่งแขนงและการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น อนึ่งสำหรับหม่อนที่ปลูกในปีแรกๆ ลำต้นและระบบรากยังเจริญเติบโตไม่มาก อาจจะหักล้มได้ง่าย ดังนั้นจะต้องทำการยึดลำต้นไว้ด้วยไม้ หรือไม้ไผ่ให้แน่นหนา
การใส่ปุ๋ย ในปีที่ 2 ให้ใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ตามการวิเคราะห์ความต้องการปูนขาวของดินเพิ่ม ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัมต่อต้น
การให้น้ำ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้น้ำหม่อนในระยะที่หม่อนติดผลแล้ว (โดยปกติจะมีฝนหลงฤดูหรือฝนชะช่อมะม่วงผ่านเข้ามา จะทำให้ต้นหม่อนแตกตาติดดอก ถ้าไม่มีฝนหลงฤดู หลังโน้มกิ่ง รูดใบ ต้องให้น้ำกระตุ้นการแตกตาแทนน้ำฝน) หากขาดน้ำจะทำให้ผลหม่อนฝ่อก่อนที่จะสุก หรือทำให้ผลหม่อนมีขนาดเล็ก
การตัดแต่งกิ่งและการดูแลรักษาทรงพุ่ม ตัดเฉพาะกิ่งแขนงที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโรคทิ้ง เพื่อลดการสะสมโรคและแมลการบังคับให้หม่อนติดผลนอกฤดูกาล ใช้วิธีการบังคับต้นหม่อน เพื่อให้ได้ผลผลิตผลหม่อนในระยะเวลาที่ต้องการ มีวิธีการดังนี้
1) ทำการโน้มกิ่งหม่อนที่ปลูกแบบทรงพุ่ม โดยการโน้มกิ่งให้ปลายยอดขนานกับพื้น หรือโน้มลงพื้นดิน รูดใบหม่อนออกให้หมด พร้อมทั้งตัดยอดส่วนที่เป็นกิ่งสีเขียวออกยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ใช้เชือกผูกโยงติดไว้กับหลักไม้ไผ่ ซึ่งปักไว้บนพื้นดินสำหรับยึดเชือกไว้
2) หลังการโน้มกิ่ง 8-12 วัน ดอกหม่อนจะแตกออกพร้อมใบ จากนั้นจะมีการพัฒนาการของ ผลหม่อน โดยผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาว สีชมพู สีแดง และสีม่วงดำ ตามลำดับ โดยใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ผลจะเริ่มแก่และสุก สามารถเก็บไปรับประทานสดหรือนำไปแปรรูปได้ มีระยะเวลาในการเก็บผลประมาณ 30 วันต่อต้น เพราะผลหม่อนจะทยอยสุก เนื่องจากออกดอกไม่พร้อมกัน
เมื่อต้นหม่อนมีอายุตั้งแต่ 2 ปี เป็นต้นไปจะให้ผลผลิตผลหม่อนประมาณ 1.5-35 กิโลกรัม(ประมาณ 750-1,850 ผลต่อครั้งต่อต้น) เพียงพอต่อการบริโภคผลสดทั้งครอบครัวทุกวัน ตลอดปี ซึ่งร่างกายต้องการวันละ 10-30 ผลเท่านั้น อีกทั้งยังมีผลหม่อนสดไว้แปรรูปเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหลายชนิด เช่น น้ำหม่อน แยมหม่อน เชอเบทหม่อน ฯลฯ ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ สำหรับผู้รักสุขภาพทุกท่านที่จะปลูกหม่อนไว้รับประทานเอง หากสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ก็ติดต่อมาได้ที่กรมหม่อนไหม จตุจักร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 089-4476600 ในหรือนอกเวลาราชการก็ยินดีครับ
ปลูกองุ่นบนอพาร์ทเม็นท์
2.1.57
สำหรับกิ่งพันธุ์องุ่นตอใหญ่ติดตาสามสายพันธุ์นี้ผมซื้อมาราคา 330 บาทซื้อที่ ตลาดต้นไม้วันพุธ-พฤหัส ที่จตุจักร เค้าขายราคาประมาณ 400 - 500 บาทไม่แน่นอนแล้วแต่คนขายแต่ผมต่อราคาเอา
วิธีปลูกก้อไม่ยาก ซื้อดินกับกระถางใบใหญ่(ขอย้ำว่าใบใหญ่) เพราะองุ่นรากเค้าหากินผนผิวดินดังนั้นต้องหากระถางใบใหญ่ที่ปากกระถางต้องกว้างจะลึกหรือตื้นก้อไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่เน้นปากกระถางต้องกว้าง
เมื่อได้กระถางแล้วน้ำดินที่ซื้อมาหรือปรุงดินเองก้อได้พยายามหาปุ๋ยคอกใส่ให้เยอะส่วนผมใช้ดินถุงผสมกับขี้วัว(ดินใบก้ามปู) ใส่เศษอิฐเศษหินลงก้นกระถางนิดหน่อยเพื่อให้ระบายน้ำได้ดีใส่ดินที่เราผสมแล้วลงไปประมาณ1ใน3ของกระถางแล้วเอากิ่งองุ่นลงปลูกเอาดินใส่กลบกิ่งพันธุ์กดให้แน่นหาหลักมายึดไว้ด้วยกันกระเทือนใส่ดินอย่าให้เต็มกระถางให้อยู่ประมาณ 3ใน4 ของกระถางแล้วรดน้ำให้ชุ่มช่าวนี้รดน้ำวันเว้นวันก้อได้รอให้องุ่นยอดเลื้อยแล้วค่อยรดทุกวันซึ่งองุ่นชอบน้ำมาก
เมื่อองุ่นยอดเริ่มเลื้อยเราก้อทำค้างให้เค้าเลื้อยส่วนผมอยู่อพาร์ทเมนต์ก้อเลยใช้ลวดขึงเอาแล้วใช้เชือกฟางเป็นสพานให้เค้าไต่ไปจนถึงค้างเส้นลวดที่ผมขึงเอาไว้เมื่อองุ่นไต่ไปจนถึงค้างก้อเด็ดยอดเพื่อให้เค้าแตกยอดเยอะ ๆเมื่อเราเด็ดยอดแล้วเค้าจะแตกยอดเป็นสองยอดเราก้อคอยจัดยอดให้เลื้อยไปตามค้างที่เราทำเอาไว้รอให้ยอดใหม่ยาวได้ประมาณ40-50ซม.ก้อเด็ดใหม่อีกเป็นอย่างนี้เรื่อย ๆ ยิ่งมียอดมากยิ่งมีผลผลิตมาก(อย่าลืม)
เมื่อปลูกองุ่นได้ 8-10 เดือน กิ่งองุ่นเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลก้อเริ่มวิธีการสำหรับให้องุ่นติดลูกช่วงนี้ให้ใส่ปุ๋ย 8-24-24 ซัก 1 กำมือแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ช่วงนี้รดน้ำทุกวัน
เมื่อใส่ปุ๋ยแล้วประมาณ 15 วัน งดน้ำองุ่น10-15วันรอดูใบองุ่นว่าแห้งกรอบแล้วหรือยังถ้าแห้งแล้วก้อทำการตัดแต่งกิ่งโดยเด็ดใบออกให้หมด ตัดยอดกิ่งที่เป็นสีเขียวออกให้เหลือกิ่งที่เป็นสีน้ำตาดโดยแต่ละกิ่งควรให้มีตากิ่งติดอยู่5-8ตา แล้วน้ำกิ่งและใบที่ตัดไปทิ้งแล้ว
นำดินมาเติมที่กระถางพรวนดินแล้วลดน้ำให้ชุ่มทุกวัน
อย่าลืมใส่ปุ๋ยคอกด้วนนะครับเค้าชอบซัก 10 วัน เค้าก้อแทงยอดพร้อมดอกแล้วหล่ะครับหลังจากนี้เค้าก้อโตของเค้าเอง
หลังจากนี้ไปเขาก้อจะโตไว้มากแป๊ปเดียวลูกก้อจะโตมากโดยทั่วไปแล้วตามไร่องุ่นเค้าจะฉีดพ่นสารเคมีบางอย่างเพื่อให้องุ่นยืดช่อยืดลูกไม่ให้มันเบียดกันง่ายต่อการดูแลและลูกโตสำหรับผมแล้วไม่กล้าฉีดซื้อมาเหมือนกันกลัวมันอันตรายเพราะปลูกไว้กินเองไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมีกินอยู่แบบธรรมชาติดีที่สุด
พอองุ่นเริ่มเข้าสีคือองุ่นเริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นแดงก้อยังให้น้ำปกติและก้อใส่มูลค้างคาวซัก 2 กำมืือโดยโรยไปรอบ ๆ ต้น แค่นี้องุ่นผมก้อหวานแล้วจนองุ่นสีแดงเสมอกันหมดก้อให้น้ำน้อยลงโดยดูที่ดินอย่าให้แห้งจนเกินไปอาจจะรดน้ำวันเว้นวันแล้วเป็นสองวันให้ครั้งนึงก้อได้จนองุ่นเกือบดำก้องดน้ำเลยแล้วลองเด็ดลูกองุ่นมาชิมดูว่าพวงไหนหวานก้อตัดมาทานได้
องุ่นผมหวานกรอบทุกช่อแต่ไม่หวานจนบาดคอเพราะผมไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มความหวานแต่ถ้าใครอยากให้หวานมากๆก้อใส่ปุ๋ยสูตร 0-0-60 ตอนที่องุ่นเริ่มเข้าสีก้อได้ไม่ว่ากันใส่ประมาณ 1- 2กำมือโดยหว่านรอบ ๆ ต้นนะครับ
เมื่อเก็บผลิตเรียบร้อยแล้วก้อพักต้นซัก 20 - 30วันก้อเริ่มต้นทำให้ออกลูกใหม่ครับก้อทำเหมือนๆ เดิม ถ้าเราทิ้งระยะเวลาในการพรุนกิ่งนานก้อจะทำให้องุ่นออกลูกน้อยลง (อันนี้ผมเคยอ่านมาแต่จำไม่ได้ว่าจากที่ไหนแต่ผมเคยลองแล้วว่าจริง ๆ ด้วย)
ขอให้สนุกกับการปลูกองุ่นนะครับ
เกษตรกรที่ จ.สุรินทร์ปลูก"มัลเบอรี"ขายรายได้ดี
2.1.57
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกร ที่ จ.สุรินทร์ ปลูกต้น มัลเบอร์รี่ จำนวน 3 งาน สามารถเก็บผลผลิตลูกมัลเบอร์รี่ได้วันละ 40 กก. ขาย กก.ละ 100 บาท สามารถแปรรูปเป็นแยม ,น้ำผลไม้ได้
แม่โจ้แนะนำเทคนิคการเพิ่มผลผลิตมัลเบอร์รี่
2.1.57
โดยช่อง 7 เมื่อ 20 พ.ย.2556
เป็นเรื่องการเพิ่มผลผลิตมัลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเทคนิคนำลวดมาทำค้างผสมผสานกับการดูแลอย่างดี ผู้สื่อข่าวเกษตร ไปดูมาบอกว่าเป็นงานวิจัย ที่ช่วยให้ผลผลิตมัลเบอร์รี่เพิ่มขึ้นได้เท่าตัว
ที่สำคัญวิธีนี้เก็บผลผลิตได้ง่ายขึ้นด้วย ไปติดตามเรื่องนี้ในสารคดีเกษตรกัน
Read more ...
เป็นเรื่องการเพิ่มผลผลิตมัลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเทคนิคนำลวดมาทำค้างผสมผสานกับการดูแลอย่างดี ผู้สื่อข่าวเกษตร ไปดูมาบอกว่าเป็นงานวิจัย ที่ช่วยให้ผลผลิตมัลเบอร์รี่เพิ่มขึ้นได้เท่าตัว
ที่สำคัญวิธีนี้เก็บผลผลิตได้ง่ายขึ้นด้วย ไปติดตามเรื่องนี้ในสารคดีเกษตรกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม โทร.089-264-2853
ม.แม่โจ้ ปลูกองุ่น ได้ผลผลิตดีในพื้นที่ราบ พร้อมส่งเสริมความรู้ให้กับเกษตรกร
1.1.57
"องุ่น" ไม้ผลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคอย่างแพร่หลาย ดังนั้น ทางสาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จึงนำมาทดลองปลูกในพื้นที่ราบและพบว่าได้ผลผลิตมาก มีคุณภาพดี พร้อมส่งเสริมให้กับเกษตรกร
ดร. ชินพันธ์ ธนารุจ สาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า จากการทดลองปลูกองุ่นบนที่สูงได้ผลดี แต่เมื่อเกษตรกรที่อยู่พื้นที่ราบต้องการปลูก ยังมีปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจว่าสามารถปลูกได้หรือไม่ จึงได้ทำแปลงทดลองที่สาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในปี 2554 โดยได้นำยอดพันธุ์มาต่อกับต้นตอเดิมที่มีอยู่แล้ว อายุประมาณ 5 ปี (ระยะปลูก 1x4 เมตร) ซึ่งพันธุ์ที่นำมาทดลอง ได้แก่
พันธุ์
"บิวตี้ซีดเลสส์",
"เฟลมซีดเลสส์",
"เพอร์เร็ท" (Perlette),
"เคียวโฮะ" (Kyoho),
"พลานอร่า" (Planora) และ
องุ่นทำไวน์ อีก 2 สายพันธุ์
รวม 8 สายพันธุ์
โดยมีการจัดการกิ่งและตัดแต่งกิ่งแบบที่ให้ผลผลิตเรียงเป็นระเบียบคล้ายกับก้างปลา จึงเรียกวิธีการจัดกิ่ง "แบบก้างปลา" ซึ่งมีผลทำให้องุ่นออกดอก ติดผล และคุณภาพดี
ภายหลังจากทดสอบที่สาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จนเป็นที่แน่ใจว่า องุ่นสามารถให้ผลผลิตได้ดีถึงแม้ว่าปลูกในพื้นที่ราบ เมื่อนำเทคนิคการจัดการกิ่งแบบประณีตเข้ามาใช้ ทำให้สามารถผลิตองุ่นได้ดีขึ้นทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
องุ่นที่ปลูกเน้นขึ้นค้างเพื่อการจัดกิ่งบนค้างให้ง่ายต่อการตัดแต่งกิ่งและการดูแลรักษาโดยจัดกิ่งรูปตัวเอช (H) ซึ่งต่างจากระบบที่ทำกันทั่วไปแบบรูปตัวเอ็กซ์ (X) และทำให้ผลผลิตต่อต้นสูงและสม่ำเสมอในทุกๆ ปี โดยเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 2 ครั้ง ต่อปี รวมถึงย่นระยะเวลาตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยวสั้นลงโดยใช้ต้นตอที่แข็งแรงและปลอดโรค ตลอดจนลดการใช้สารเคมีป้องกันโรคและแมลง โดยการสร้างโรงเรือนพลาสติกป้องกันหมอกและฝน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดและแพร่ระบาดของโรค และเพิ่มความหวานให้สูงขึ้นในช่วงผลผลิตออกในฤดูฝนโดยใช้ต้นตอที่มีระบบรากที่ไม่แข็งแรงมาก
ส่วนขั้นตอนของการปลูก เริ่มจากจัดทำโรงเรือนพลาสติกและทำค้าง เพื่อป้องกันหมอกและฝนที่เป็นสาเหตุในการแพร่ระบาดของโรค สามารถลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้มาก ซึ่งการทำโรงเรือนพลาสติกสามารถทำแบบดี โดยมีการระบายอากาศและปิดข้างด้วยตาข่ายป้องกันแมลงและนกได้ แต่ทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น หรือทำแบบอย่างง่ายเพื่อลดต้นทุนโดยการคุมพลาสติกเฉพาะด้านบน ส่วนด้านข้างเปิดโล่ง
ภายหลังจากทดสอบที่สาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จนเป็นที่แน่ใจว่า องุ่นสามารถให้ผลผลิตได้ดีถึงแม้ว่าปลูกในพื้นที่ราบ เมื่อนำเทคนิคการจัดการกิ่งแบบประณีตเข้ามาใช้ ทำให้สามารถผลิตองุ่นได้ดีขึ้นทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
องุ่นที่ปลูกเน้นขึ้นค้างเพื่อการจัดกิ่งบนค้างให้ง่ายต่อการตัดแต่งกิ่งและการดูแลรักษาโดยจัดกิ่งรูปตัวเอช (H) ซึ่งต่างจากระบบที่ทำกันทั่วไปแบบรูปตัวเอ็กซ์ (X) และทำให้ผลผลิตต่อต้นสูงและสม่ำเสมอในทุกๆ ปี โดยเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 2 ครั้ง ต่อปี รวมถึงย่นระยะเวลาตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยวสั้นลงโดยใช้ต้นตอที่แข็งแรงและปลอดโรค ตลอดจนลดการใช้สารเคมีป้องกันโรคและแมลง โดยการสร้างโรงเรือนพลาสติกป้องกันหมอกและฝน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดและแพร่ระบาดของโรค และเพิ่มความหวานให้สูงขึ้นในช่วงผลผลิตออกในฤดูฝนโดยใช้ต้นตอที่มีระบบรากที่ไม่แข็งแรงมาก
ส่วนขั้นตอนของการปลูก เริ่มจากจัดทำโรงเรือนพลาสติกและทำค้าง เพื่อป้องกันหมอกและฝนที่เป็นสาเหตุในการแพร่ระบาดของโรค สามารถลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้มาก ซึ่งการทำโรงเรือนพลาสติกสามารถทำแบบดี โดยมีการระบายอากาศและปิดข้างด้วยตาข่ายป้องกันแมลงและนกได้ แต่ทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น หรือทำแบบอย่างง่ายเพื่อลดต้นทุนโดยการคุมพลาสติกเฉพาะด้านบน ส่วนด้านข้างเปิดโล่ง
ส่วนการทำค้างสามารถใช้ลวดขึงบนโครงสร้างของโรงพลาสติกได้ โดยไม่ต้องใช้โครงสร้างของค้างภายในโรงเรือนหรือโรงพลาสติกซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงได้ การขึงลวดทำค้างให้มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 180 เซนติเมตร และมีความกว้าง 3.5-4 เมตร เพื่อง่ายในการจัดการดูแลรักษาและการจัดกิ่งบนค้าง โดยขึงลวดในแนวยาว เพียงด้านเดียวจากหัวแปลงไปถึงท้ายแปลง มีระยะห่างของลวดประมาณ 25-30 เซนติเมตร
จากนั้นเตรียมดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ทดสอบได้อย่างง่ายๆ คือ ขุดหลุมกว้างประมาณ 20-30 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เมตร และเทน้ำให้เต็มหลุม ถ้าดินมีการระบายดี น้ำจะแห้งอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าดินระบายน้ำไม่ดีหรือดินเหนียว น้ำขังเป็นเวลานาน รากองุ่นก็จะแช่น้ำนาน ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์แข็งแรงของต้นองุ่นด้วย ถ้าไม่สามารถเลือกพื้นที่หรือสภาพดินได้ต้องทำระบบร่องระบายน้ำใต้ดิน โดยทำร่องน้ำเล็กๆ ไว้ใต้หลุมปลูกซึ่งเมื่อฝนตกลงมาน้ำจะค่อยๆ ซึมผ่านลงร่องระบายอย่างช้าๆ ทำให้น้ำไม่ขังอยู่ภายในหลุมและดินไม่แห้งเร็วจนเกินไป ซึ่งมีผลเป็นอย่างมากต่อการปลูกและจัดการดูแลรักษาองุ่นในระยะยาว
สำหรับการตัดแต่งกิ่งกระตุ้นการออกดอกและติดผล เพื่อเพิ่มคุณภาพหลังจากจัดกิ่งบนค้างได้สมบูรณ์ และรอจนกระทั่งกิ่งเปลี่ยนสี มีอายุประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งช่วงนี้กิ่งแขนงหรือกิ่งย่อยจะมีการพัฒนาตาดอก โดยกิ่งเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลและตาข้างมีลักษณะนูนกลมในตำแหน่งตาที่ 5-6 ตัดแต่งเพื่อกระตุ้นให้ออกดอกและติดผล โดยตัดแต่งในช่วงตำแหน่งตาที่ 5 หรือ 6 หลังจากตัดแต่งแล้ว เด็ดใบทิ้งเพื่อกระตุ้นให้ตาดอกแตกพร้อมกันทุกกิ่งและสม่ำเสมอ
หลังจากตัดแต่งกิ่งและเด็ดใบเสร็จ ป้ายหรือพ่นสารกระตุ้นการแตกตาดอกให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้มีการแตกตาดอกพร้อมกัน หลังจากนั้น พ่นฮอร์โมนเพื่อยืดช่อดอกและขยายขนาดผลที่ช่อ ซึ่งจะพ่น 2 ครั้ง คือ ช่วงดอกบาน และหลังดอกบาน 10 วัน พร้อมทั้งตัดแต่งผล ครั้งที่ 1 หลังดอกบานประมาณ 10 วัน และครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์
จากนั้นเตรียมดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ทดสอบได้อย่างง่ายๆ คือ ขุดหลุมกว้างประมาณ 20-30 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เมตร และเทน้ำให้เต็มหลุม ถ้าดินมีการระบายดี น้ำจะแห้งอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าดินระบายน้ำไม่ดีหรือดินเหนียว น้ำขังเป็นเวลานาน รากองุ่นก็จะแช่น้ำนาน ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์แข็งแรงของต้นองุ่นด้วย ถ้าไม่สามารถเลือกพื้นที่หรือสภาพดินได้ต้องทำระบบร่องระบายน้ำใต้ดิน โดยทำร่องน้ำเล็กๆ ไว้ใต้หลุมปลูกซึ่งเมื่อฝนตกลงมาน้ำจะค่อยๆ ซึมผ่านลงร่องระบายอย่างช้าๆ ทำให้น้ำไม่ขังอยู่ภายในหลุมและดินไม่แห้งเร็วจนเกินไป ซึ่งมีผลเป็นอย่างมากต่อการปลูกและจัดการดูแลรักษาองุ่นในระยะยาว
สำหรับการตัดแต่งกิ่งกระตุ้นการออกดอกและติดผล เพื่อเพิ่มคุณภาพหลังจากจัดกิ่งบนค้างได้สมบูรณ์ และรอจนกระทั่งกิ่งเปลี่ยนสี มีอายุประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งช่วงนี้กิ่งแขนงหรือกิ่งย่อยจะมีการพัฒนาตาดอก โดยกิ่งเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลและตาข้างมีลักษณะนูนกลมในตำแหน่งตาที่ 5-6 ตัดแต่งเพื่อกระตุ้นให้ออกดอกและติดผล โดยตัดแต่งในช่วงตำแหน่งตาที่ 5 หรือ 6 หลังจากตัดแต่งแล้ว เด็ดใบทิ้งเพื่อกระตุ้นให้ตาดอกแตกพร้อมกันทุกกิ่งและสม่ำเสมอ
หลังจากตัดแต่งกิ่งและเด็ดใบเสร็จ ป้ายหรือพ่นสารกระตุ้นการแตกตาดอกให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้มีการแตกตาดอกพร้อมกัน หลังจากนั้น พ่นฮอร์โมนเพื่อยืดช่อดอกและขยายขนาดผลที่ช่อ ซึ่งจะพ่น 2 ครั้ง คือ ช่วงดอกบาน และหลังดอกบาน 10 วัน พร้อมทั้งตัดแต่งผล ครั้งที่ 1 หลังดอกบานประมาณ 10 วัน และครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์
นอกจากนี้ ยังห่อผลเพื่อให้สีผิวผลองุ่นสีนวล ผลโตขึ้นมีคุณภาพดี จะเริ่มห่อองุ่นในช่วงเปลี่ยนสีหรือหลังดอกบานประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ซึ่งมีอายุการติดผลถึงเก็บเกี่ยวไม่เท่ากัน
สำหรับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมีอายุประมาณ 90-120 วัน หลังจากดอกบาน โดยมาตรฐานทั่วไปเฉลี่ยความหวานไม่ต่ำกว่า 16 องศาบริกซ์ สามารถเก็บเกี่ยวได้ แต่ปัญหาเรื่องความหวานต่ำมักพบในช่วงฤดูฝนซึ่งต้องงดน้ำก่อนเก็บประมาณ 2 สัปดาห์ และพ่นปุ๋ย 0-0-60 หรือบอริกแอซิด ทางใบ 4 และ 2 สัปดาห์ ก่อนเก็บ จะช่วยหยุดการเจริญเติบโตของยอดอ่อนและช่วยเพิ่มความหวานสูงขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจเทคนิคการผลิตองุ่นแบบประณีต เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตองุ่น ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดร. ชินพันธ์ ธนารุจ โทร. (089) 264-2853, (083) 863-4458
สำหรับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมีอายุประมาณ 90-120 วัน หลังจากดอกบาน โดยมาตรฐานทั่วไปเฉลี่ยความหวานไม่ต่ำกว่า 16 องศาบริกซ์ สามารถเก็บเกี่ยวได้ แต่ปัญหาเรื่องความหวานต่ำมักพบในช่วงฤดูฝนซึ่งต้องงดน้ำก่อนเก็บประมาณ 2 สัปดาห์ และพ่นปุ๋ย 0-0-60 หรือบอริกแอซิด ทางใบ 4 และ 2 สัปดาห์ ก่อนเก็บ จะช่วยหยุดการเจริญเติบโตของยอดอ่อนและช่วยเพิ่มความหวานสูงขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจเทคนิคการผลิตองุ่นแบบประณีต เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตองุ่น ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดร. ชินพันธ์ ธนารุจ โทร. (089) 264-2853, (083) 863-4458
เกษตรน่ารู้ : การขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีการเสียบยอด
1.1.57
โดยช่อง 7 เมื่อ 20 ธ.ค.255
การขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีการเสียบยอด เกษตรกรมักจะใช้เชือกฟาง หรือผ้าพลาสติกพันให้รอยแผลติดสนิท ถึงแม้วัสดุดังกล่าวจะหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูก แต่มีความยืดหยุ่นน้อย หากเกษตรกรขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีนี้ครั้งละมากๆ จะเสียเวลาและต้องจ้างแรงงานเพิ่มสำหรับแกะพลาสติกออกหลังจากรอยแผลที่เสียบยอดไว้ผสานกัน และเริ่มมียอดใหม่แตกออกมา
อาจารย์จากสาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร แนะนำให้ใช้วัสดุที่ทำจาก "พาราฟิน" ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงกว่า และช่วยให้ยอดของต้นพืชสามารถแตกออกมาได้ ที่สำคัญวัสดุนี้สลายตัวได้เองตามธรรมชาติภายใน 3 เดือน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสียหายจากปัญหายอดช้ำจากการแกะพลาสติกออก ถึงแม้วัสดุจากพาราฟินจะมีราคาสูงกว่าพลาสติก แต่เกษตรกรก็ไม่ต้องเสียค่าจ้างแรงงานเพิ่ม
Read more ...
การขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีการเสียบยอด เกษตรกรมักจะใช้เชือกฟาง หรือผ้าพลาสติกพันให้รอยแผลติดสนิท ถึงแม้วัสดุดังกล่าวจะหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูก แต่มีความยืดหยุ่นน้อย หากเกษตรกรขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีนี้ครั้งละมากๆ จะเสียเวลาและต้องจ้างแรงงานเพิ่มสำหรับแกะพลาสติกออกหลังจากรอยแผลที่เสียบยอดไว้ผสานกัน และเริ่มมียอดใหม่แตกออกมา
อาจารย์จากสาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร แนะนำให้ใช้วัสดุที่ทำจาก "พาราฟิน" ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงกว่า และช่วยให้ยอดของต้นพืชสามารถแตกออกมาได้ ที่สำคัญวัสดุนี้สลายตัวได้เองตามธรรมชาติภายใน 3 เดือน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสียหายจากปัญหายอดช้ำจากการแกะพลาสติกออก ถึงแม้วัสดุจากพาราฟินจะมีราคาสูงกว่าพลาสติก แต่เกษตรกรก็ไม่ต้องเสียค่าจ้างแรงงานเพิ่ม
ข้อมูลเพิ่มเติม : อ.ชินพันธ์ ธนารุจ สาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร ม.แม่โจ้
แม่โจ้แนะนำการปลูกต้นองุ่นในกระถางให้ผลผลิตดี
1.1.57
ดร.ชินพันธ์ ธนารุจ อาจารย์สาขาไม้ผล คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ต้องการสร้างทางเลือกในการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกองุ่น โดยรูปแบบการปลูกจะไม่ใช้วิธีขุดต้นที่ให้ผลผลิตแล้วจากแปลงมาลงปลูกในกระถาง
วิธีขยายพันธุ์และปลูกลงกระถางจะใช้วิธีเปลี่ยนยอด โดยเริ่มจากนำต้นตอองุ่นป่าที่ปักชำไว้จนออกรากแล้ว ย้ายปลูกลงในถุงดำ วัสดุปลูกที่ใช้ทำจากดินร่วนผสมถ่านแกลบก้อนเชื้อเห็ดเก่าทรายและปุ๋ยคอกอย่างละ 1 ส่วน วัสดุนี้มีน้ำหนักเบาทำให้เคลื่อนย้ายได้ง่าย หลังปลูกต้นตอ 1 สัปดาห์ จึงเปลี่ยนยอดเป็นองุ่นพันธุ์ดี เช่น พันธุ์บิวตี้ ซีดเลส (BEAUTY SEEDLESS) หรือพันธุ์องุ่นสำหรับผลิตไวน์ ที่ให้ผลผลิตได้ง่าย ทั้งนี้ควรตั้งไว้ในที่ร่ม ดูแลรดน้ำทุกๆ 2-3 วัน
หลังจากเปลี่ยนยอด 2 สัปดาห์ ใช้เชือกผูกรั้งต้นองุ่นไว้กับขื่อ และคอยจัดแต่งต้นให้เลื้อยไปกับเชือกที่ขึงไว้ เมื่อต้นมีอายุ 3-4 เดือน ให้ตัดแต่งต้น จากนั้นอีก 1 เดือน ก็จะออกดอกรุ่นแรก เมื่อเริ่มติดผลเล็กๆ จึงย้ายลงปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 นิ้วขึ้นไป ก่อนปลูกให้วางโครงเหล็กสูง 1 - 1.5 เมตร ลงไปในกระถาง แล้วนำต้นองุ่นลงปลูก เติมวัสดุปลูกให้เต็มกระถาง จัดเถาให้เลื้อยไปตามรูปทรงของโครงเหล็กผูกยึดลำต้นและกิ่งให้แน่น แล้วดูแลใส่ปุ๋ยรดน้ำตามปกติ จากการทดลองปลูกด้วยวิธีนี้ต้นองุ่นจะให้ผลผลิตได้ดีกว่าการขุดจากแปลงมาปลูกในกระถาง
เกษตรกรที่ปลูกองุ่นเป็นอาชีพหลักนำวิธีนี้ไปปรับใช้ได้ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับต้นองุ่น เพราะสามารถขายเป็นของฝากของขวัญได้
เกษตรกรรุ่นใหม่ แห่ง "วาสนาฟาร์ม" พลิกสวนสองจังหวัด ปลูกแตงญี่ปุ่นขึ้นห้างไทย
1.1.57
โดยเทคโนโลยีการเกษตร เมื่อ 1 ก.ย.2552
แคนตาลูป และเมล่อน สองพืชตระกูลแตงที่กำลังครองความนิยมแซงหน้าแตงไทยไปไกลลิบ บ้างเรียก "แตงเทศ" และ "แตงญี่ปุ่น" เพราะแม้ว่าต้นกำเนิดสายพันธุ์ของแตงเหล่านี้มาจากแอฟริกา แต่ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นได้มีการพัฒนาสายพันธุ์และเทคโนโลยีการผลิตจนทั่วโลกให้การยอมรับในความหอมหวานทั้งกลิ่นและรสของเนื้อผลสดชนิดที่หาใครทัดเทียมได้ยาก
แม้ว่าปัจจุบันเกษตรกรไทยจะสามารถเพาะปลูกแตงเหล่านี้ได้ทั่วไปแล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเรื่องของคุณภาพที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ จนเกษตรกรต้องตั้งฉายาว่า "แตงคุณหนู" อีกทั้งไม่สามารถปลูกแตงญี่ปุ่นในฤดูฝนได้ดี ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการส่งผลผลิตสู่ตลาด โดยเฉพาะในตลาดห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำต่างๆ ที่ต้องการความต่อเนื่องและคุณภาพเป็นหลัก จึงสังเกตได้ชัดเจนว่าในช่วงฤดูฝนจะมีแคนตาลูปและเมล่อนจากผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายวางจำหน่ายบนแผง
"ฟาร์ม เฟรช (FARM FRESH)" จัดเป็นแบรนด์หนึ่งที่มีผลผลิตประจำแผงซุปเปอร์มาร์เก็ตในเครือเดอะมอลล์กรุ๊ปอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งยังขยายตลาดไปยังคาร์ฟูร์ ท็อปส์ โกลด์เดนเพลส และอาจกล่าวได้ว่าฟาร์ม เฟรช สามารถส่งแคนตาลูปและเมล่อนหลากหลายสายพันธุ์สู่ตลาดกลุ่มนี้ได้มากที่สุดถึง 8 สายพันธุ์ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่ามาจากสวนเมืองหนาวหรือมีปลูกในโรงเรือนอีแว็ปอย่างดี แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เพราะผู้ผลิตตัวจริงคือ "วาสนาฟาร์ม" แหล่งผลิตแตงเทศ แตงญี่ปุ่น พันธุ์ดีจากต่างแดน เจ้าของรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ของประเทศ ในการทำการเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) จากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ 130 ไร่ ในตำบลละโสม อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คาบเกี่ยวไปยังพื้นที่อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี (โทร.(081) 994-8868, (081) 801-8845 เป็นสวนแคนตาลูปกลางแจ้งที่ให้ผลผลิตดีไม่น้อยหน้าใคร ใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยาและนับเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย
จากวิศวะกรรมเครื่องกล
สู่เกษตรกรเชิงวิทย์
ทุกผลผลิตของวาสนาฟาร์มเกิดจากความตั้งใจของสามพี่น้อง คือ
คุณภานุวัฒน์ อรุณโรจน์ศิริ
คุณวาสนา สุพิงค์ และ
คุณสรชา อรุณโรจน์ศิริ
มีจุดเริ่มในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ราวปี 2540 ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นาน จนมาเริ่มจับทิศทางว่าจะปลูกแตงเทศคุณภาพเพื่อทำตลาดเมื่อช่วง 6 ปี ให้หลัง สามารถจับตลาดห้างและซุปเปอร์ชั้นนำได้สำเร็จด้วยยอดจำหน่ายแคนตาลูปและเมล่อนรวม 30 ตัน ต่อเดือน และส่งออกไปประเทศรัสเซียผ่านบริษัทส่งออกอีกราว 10% โดยมีแรงหลักคือ คุณภานุวัฒน์ เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เริ่มจับงานเกษตรจริงจังด้วยวัยไม่ถึง 30 วันนี้ด้วยเพียง 36 ปี เขาก็สามารถก้าวขั้นกลายเป็นหัวหอกสำคัญของฟาร์ม ทั้งที่การศึกษาและสายงานในอดีตห่างไกลเกษตรกรรมโดยสิ้นเชิง
"เดิมทีผมทำงานด้านอุตสาหกรรม จบวิศวกรรมเครื่องกล จากเทคโนโลยีมหานคร แต่เกิดวิกฤต ปี"40 ตอนนั้นไฟแนนซ์ล้มหมด เราจะอยู่ในสาขาเดิมก็ไม่ใช่ จึงต้องมองธุรกิจใหม่ แต่เมื่อมองมาถึงภาคเกษตร ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา เกษตรกรที่นั่นรวยกันหมดแล้ว ไต้หวันเกษตรกรรวย ญี่ปุ่นเกษตรกรก็รวย ทำให้เรากลับมาคิดว่า ทำไมเกษตรกรไทยจึงไม่รวย จึงกลายเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราอยากหันมาพัฒนาตนเอง ซึ่งครอบครัวมีพื้นฐานด้านงานเกษตรอยู่บ้างให้ดีที่สุด" คุณภานุวัฒน์ เล่าย้อนความ
เริ่มแรกเขาใช้พื้นที่ 12 ไร่ ที่มีอยู่ปลูกพืชหลายชนิด มีตัวเด่นคือ ผักอินทรีย์ แคนตาลูป เมล่อน และมะละกอเรดมาลาดอร์ ซึ่งปัจจุบันหลายคนเรียกว่า ปักไม้ลาย หรือฮอลแลนด์ คุณภานุวัฒน์ บอกว่า เมื่อได้ศึกษาอย่างแท้จริงแล้ว มะละกอเหล่านี้ก็คือเรดมาลาดอร์ มาจากเม็กซิโก ซึ่งหาสายพันธุ์แท้ในประเทศไทยได้ยากยิ่ง ประกอบกับมีปัญหาด้านการตลาดเช่นเดียวกับผักอินทรีย์ เขาจึงเลือกที่ทุ่มเทให้กับผลผลิตเพียงชนิดเดียวและจะพัฒนาให้ถึงสุดขั้ว นั่นคือ เมล่อน และแคนตาลูป ซึ่งตอนแรกแบ่งพื้นที่ปลูกไว้เพียง 1 ไร่ ต่อมาจึงค่อยๆ หาสายพันธุ์มาทดลองปลูกจนเพิ่มเป็น 5 ไร่ และกลายเป็น 130 ไร่ ในปัจจุบัน
"จากความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่มีพื้นฐานการใช้องค์ประกอบในเรื่องของเหตุและผลมาก่อน ทำให้เราเข้าถึงหลักของธรรมชาติอย่างแท้จริง จึงสามารถที่จะเข้าใจ เรียนรู้ และปรับปรุงคุณภาพพืชให้ดีออกมาได้ ตำราวิชาการด้านการเกษตรก็มีพื้นฐานจากเหตุและผลทั้งสิ้น เราตั้งสมมติฐานขึ้น หาวิธีแก้และลงมือจริง แต่อาจต้องใช้เวลา อย่างเรื่องโรคและแมลง เราก็เจอปัญหาตั้งแต่ยุคแรก เช่น เพลี้ยไฟ ที่ระบาดมาจากแปลงข้าวใกล้เคียง
"เดิมทีผมทำงานด้านอุตสาหกรรม จบวิศวกรรมเครื่องกล จากเทคโนโลยีมหานคร แต่เกิดวิกฤต ปี"40 ตอนนั้นไฟแนนซ์ล้มหมด เราจะอยู่ในสาขาเดิมก็ไม่ใช่ จึงต้องมองธุรกิจใหม่ แต่เมื่อมองมาถึงภาคเกษตร ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา เกษตรกรที่นั่นรวยกันหมดแล้ว ไต้หวันเกษตรกรรวย ญี่ปุ่นเกษตรกรก็รวย ทำให้เรากลับมาคิดว่า ทำไมเกษตรกรไทยจึงไม่รวย จึงกลายเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราอยากหันมาพัฒนาตนเอง ซึ่งครอบครัวมีพื้นฐานด้านงานเกษตรอยู่บ้างให้ดีที่สุด" คุณภานุวัฒน์ เล่าย้อนความ
เริ่มแรกเขาใช้พื้นที่ 12 ไร่ ที่มีอยู่ปลูกพืชหลายชนิด มีตัวเด่นคือ ผักอินทรีย์ แคนตาลูป เมล่อน และมะละกอเรดมาลาดอร์ ซึ่งปัจจุบันหลายคนเรียกว่า ปักไม้ลาย หรือฮอลแลนด์ คุณภานุวัฒน์ บอกว่า เมื่อได้ศึกษาอย่างแท้จริงแล้ว มะละกอเหล่านี้ก็คือเรดมาลาดอร์ มาจากเม็กซิโก ซึ่งหาสายพันธุ์แท้ในประเทศไทยได้ยากยิ่ง ประกอบกับมีปัญหาด้านการตลาดเช่นเดียวกับผักอินทรีย์ เขาจึงเลือกที่ทุ่มเทให้กับผลผลิตเพียงชนิดเดียวและจะพัฒนาให้ถึงสุดขั้ว นั่นคือ เมล่อน และแคนตาลูป ซึ่งตอนแรกแบ่งพื้นที่ปลูกไว้เพียง 1 ไร่ ต่อมาจึงค่อยๆ หาสายพันธุ์มาทดลองปลูกจนเพิ่มเป็น 5 ไร่ และกลายเป็น 130 ไร่ ในปัจจุบัน
"จากความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่มีพื้นฐานการใช้องค์ประกอบในเรื่องของเหตุและผลมาก่อน ทำให้เราเข้าถึงหลักของธรรมชาติอย่างแท้จริง จึงสามารถที่จะเข้าใจ เรียนรู้ และปรับปรุงคุณภาพพืชให้ดีออกมาได้ ตำราวิชาการด้านการเกษตรก็มีพื้นฐานจากเหตุและผลทั้งสิ้น เราตั้งสมมติฐานขึ้น หาวิธีแก้และลงมือจริง แต่อาจต้องใช้เวลา อย่างเรื่องโรคและแมลง เราก็เจอปัญหาตั้งแต่ยุคแรก เช่น เพลี้ยไฟ ที่ระบาดมาจากแปลงข้าวใกล้เคียง
เราก็ต้องแก้โดยหาช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อหลบหลีกในช่วงฤดูข้าว สร้างบังเกอร์แนวปะทะโรค โดยปลูกให้เป็นป่าถาวร เราต้องแก้ไขและวางแผน รวมถึงเทคโนโลยีเครื่องจักรต่างๆ ก็ต้องเข้ามาช่วยเพื่อทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ ที่นี่คือ แฟคตอรี่ เป็นเหมือนโรงงานแห่งหนึ่งที่มีการผลิตเป็นระบบ เป็นขั้นตอนตั้งแต่เตรียมแปลงถึงเก็บเกี่ยวจนได้ผลผลิตออกมาแต่ละรุ่น และทุกรุ่นจะถูกบันทึกสรุปเป็นไว้ ซึ่งมีรหัสที่จะติดตามไปยังผลผลิตทุกผล ไปสู่ตลาดซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้"
มองตลาด นำการผลิต
พบสุดยอด เมล่อน "ไซตามะ"
คุณภานุวัฒน์ ให้เหตุผลที่เลือกพัฒนาแคนตาลูปและเมล่อนให้สุดขั้วว่า เพราะเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ขณะเดียวกันผู้ผลิตต้องมีความรู้ ต้องใช้เทคโนโลยี และค่อนข้างเสี่ยงต่อความเสียหาย ซึ่งเป็นข้อจำกัดของพืชชนิดนี้ แต่ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าคู่แข่งทางการตลาดจึงมีน้อยไปด้วย ที่สำคัญคือ ผู้ปลูกได้ส่วนใหญ่จะมีผลผลิตเป็นไปตามฤดูกาล คือฤดูร้อน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยจะผลิตเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ทำให้มวลรวมของผลผลิตกระจุกตัวจนมีราคาถูก ปัญหานี้กลับกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้กับคุณภานุวัฒน์ต้องหาคำตอบ
"มันก็เป็นโจทย์ให้เรากลับมาคิดอีกว่า ควรทำอย่างไร ให้ได้ผลผลิตตลอดทั้งปี คำตอบที่ได้คือ ต้องพัฒนาเรื่องของสายพันธุ์ ผมทดลองสายพันธุ์ที่นี่มากกว่า 30 ชนิด ซึ่งการทดลองแต่ละสายพันธุ์ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี แต่ถ้าจะให้แม่นยำจริงๆ ก็คือ 3 ปี จึงจะสรุปได้ว่า สามารถปลูกได้ในพื้นที่นี้ได้และสามารถทำตลาดได้ต่อเนื่อง เราพยายามหาสายพันธุ์เองทั้งสายพันธุ์ของไทย ของไต้หวัน และของญี่ปุ่น"
ผลจากความพยายามในการคัดสรรสายพันธุ์แคนตาลูปและเมล่อนที่ดี วาสนาฟาร์มจึงลงตัวที่ผลผลิตคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของตลาด จำนวน 8 สายพันธุ์ ซึ่งมีลักษณะผลและสีของเนื้อต่างกัน แต่ความหอมหวานไม่มีใครแพ้ใคร โดยคุณภานุวัฒน์ใช้ชื่อสายพันธุ์เป็นชื่อทางการค้า ได้แก่ ออเรนจ์เนต กรีนเนต ( เจแปนนิส มัสค์ เมล่อน เนื้อส้มและเนื้อเขียว) ท็อปซัน ท็อปสตาร์ (แคนตาลูปลูกผสม เนื้อเขียว) สยามโกลด์,ท็อปโกลด์ (แคนตาลูปเนื้อส้มและแคนตาลูปสีทอง เนื้อส้ม)และซันไช่ แอปเปิ้ลเมล่อนหอมหวาน
มองตลาด นำการผลิต
พบสุดยอด เมล่อน "ไซตามะ"
คุณภานุวัฒน์ ให้เหตุผลที่เลือกพัฒนาแคนตาลูปและเมล่อนให้สุดขั้วว่า เพราะเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ขณะเดียวกันผู้ผลิตต้องมีความรู้ ต้องใช้เทคโนโลยี และค่อนข้างเสี่ยงต่อความเสียหาย ซึ่งเป็นข้อจำกัดของพืชชนิดนี้ แต่ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าคู่แข่งทางการตลาดจึงมีน้อยไปด้วย ที่สำคัญคือ ผู้ปลูกได้ส่วนใหญ่จะมีผลผลิตเป็นไปตามฤดูกาล คือฤดูร้อน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยจะผลิตเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ทำให้มวลรวมของผลผลิตกระจุกตัวจนมีราคาถูก ปัญหานี้กลับกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้กับคุณภานุวัฒน์ต้องหาคำตอบ
"มันก็เป็นโจทย์ให้เรากลับมาคิดอีกว่า ควรทำอย่างไร ให้ได้ผลผลิตตลอดทั้งปี คำตอบที่ได้คือ ต้องพัฒนาเรื่องของสายพันธุ์ ผมทดลองสายพันธุ์ที่นี่มากกว่า 30 ชนิด ซึ่งการทดลองแต่ละสายพันธุ์ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี แต่ถ้าจะให้แม่นยำจริงๆ ก็คือ 3 ปี จึงจะสรุปได้ว่า สามารถปลูกได้ในพื้นที่นี้ได้และสามารถทำตลาดได้ต่อเนื่อง เราพยายามหาสายพันธุ์เองทั้งสายพันธุ์ของไทย ของไต้หวัน และของญี่ปุ่น"
ผลจากความพยายามในการคัดสรรสายพันธุ์แคนตาลูปและเมล่อนที่ดี วาสนาฟาร์มจึงลงตัวที่ผลผลิตคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของตลาด จำนวน 8 สายพันธุ์ ซึ่งมีลักษณะผลและสีของเนื้อต่างกัน แต่ความหอมหวานไม่มีใครแพ้ใคร โดยคุณภานุวัฒน์ใช้ชื่อสายพันธุ์เป็นชื่อทางการค้า ได้แก่ ออเรนจ์เนต กรีนเนต ( เจแปนนิส มัสค์ เมล่อน เนื้อส้มและเนื้อเขียว) ท็อปซัน ท็อปสตาร์ (แคนตาลูปลูกผสม เนื้อเขียว) สยามโกลด์,ท็อปโกลด์ (แคนตาลูปเนื้อส้มและแคนตาลูปสีทอง เนื้อส้ม)และซันไช่ แอปเปิ้ลเมล่อนหอมหวาน
ส่วนอีกสายพันธุ์ก็คือ "ไซตามะ" เมล่อนรสเลิศผลกลมสวย สายพันธุ์ดีจากญี่ปุ่น ที่เขาสามารถพัฒนาเทคนิคการปลูกในประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์จากสวนที่ได้รับรางวัลสุดยอด OTOP หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ จากกรมพัฒนาชุมชน แต่กว่าจะได้สายพันธุ์นี้ผู้ผลิตสายพันธุ์ที่ญี่ปุ่นต้องบินข้ามประเทศมาวาสนาฟาร์มถึง 7 ครั้ง เพื่อนำพันธุ์มาให้ทดลองปลูกทั้งหมด 9 สายพันธุ์ แต่สุดท้าย 1 ใน 9 ที่คุณภานุวัฒน์เลือกปลูกก็คือ ไซตามะ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่น แม้แต่ในประเทศญี่ปุ่น มีการซื้อขายผลสดในราคาสูงถึงผลละ 3,500-4,500 บาท
"ทางมิสเตอร์ฟุคาว่า ผู้ผลิตสายพันธุ์เขาก็สงสัยว่า ทำไม เราจึงเลือกสายพันธุ์นี้ เพราะเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะปลูกในอากาศเย็น ขณะที่สายพันธุ์อื่นๆ เหมาะกับปลูกในบ้านเรามากกว่า คือสายพันธุ์อากาศร้อนชื้น แต่ผมเห็นว่าไซตามะเป็นเมล่อนที่เด่นสุดยอดมาก ทรงผลเป็นทรงกลม ลายนูนสวยงาม สีเนื้อเป็นสีเหลืองอำพัน เนื้อนุ่ม หอมหวาน ซึ่งจากการเราปลูกมามากมายที่ผ่านมายังเทียบไม่ได้ และยังเป็นผลผลิตที่เด่นที่สุดในญี่ปุ่น และเราก็ปลูกได้คุณภาพดีที่สุดด้วย"
คุณภานุวัฒน์ ใช้เวลาพัฒนาการปลูกไซตามะเป็นเวลา 3 ปี จนมีเทคนิคการปลูกซึ่งแตกต่างกับวิธีการปลูกที่ญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง เนื่องจากสายพันธุ์ดั้งเดิมของไซตามะเจริญเติบโตในอุณหภูมิเพียง 5 องศา เมื่อนำมาปลูกในที่อุณภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศา เขาจึงต้องพยายามปรับปรุงสภาพให้เหมาะสมกับสายพันธุ์ ซึ่งใกล้เคียงกับแตงญี่ปุ่นสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งมาจากแหล่งกำเนิดพันธุ์จากเมืองหนาวเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ความสมบูรณ์ของดิน การระบายน้ำ ยุทธศาสตร์ฟาร์มที่ปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคและแมลง ที่สำคัญคือเรื่องการจัดการต้น ที่ต้องรวดเร็วกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเก็บดอก เก็บแขนง การเก็บใบ การเลือกผลคงต้นที่เหมาะสม รวมถึงการควบคุมปุ๋ยที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและการคำนวณที่เหมาะสมจึงจะให้ผลผลิตที่สมบูรณ์สู่ผู้บริโภคคนไทย ที่สามารถซื้อหามาลิ้มรสได้ในราคาเพียงกิโลกรัมละ 270 บาท ถูกกว่าแตงญี่ปุ่นนำเข้าหลายเท่าตัว
ความน่าสนใจของวาสนาฟาร์ม ยังไม่หมดแค่ผลผลิตพันธุ์ดี แต่แนวคิดการจัดการที่เป็นขั้นตอนและนำหลักเหตุและผลยังเป็นเรื่องที่เกษตรกรทั่วไปสามารถนำมาปรับใช้ได้จริง ปัจจุบันวาสนาฟาร์มจึงเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญอีกแห่งของพระนครศรีอยุธยาที่คุณภานุวัฒน์มุ่งหมายเผยแพร่วิธีคิดแบบเกษตรกรรุ่นใหม่แก่ผู้อื่น พร้อมเปิดฟาร์มเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อนำความยั่งยืนสู่ชุมชน และคงยังไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาสายพันธุ์แตงญี่ปุ่นสายพันธุ์ดีสู่ผู้บริโภคคนไทย ล่าสุดทดลองปลูก "เมล่อนเลมอน" เมล่อนกลิ่นหอม รสหวานอมเปรี้ยว ได้สำเร็จ เตรียมทำตลาดปลายปี และมุ่งนำฟาร์มเข้าสู่ระบบมาตรฐานระดับสากล
หากท่านใดสนใจดูงานในวาสนาฟาร์ม สามารถติดต่อ คุณภานุวัฒน์ ได้ที่เบอร์ข้างต้น หรือถ้าไม่สะดวกขับรถไปเองทีมเกษตรสัญจรจัดให้มีโปรแกรมเที่ยวเมืองกรุงเก่า ซึ่งจะพาทุกท่านไปพบคุณภานุวัฒน์ตัวจริง พร้อมเลือกชิม เลือกซื้อ ผลผลิตแสนอร่อย ราคากันเอง ในวันเสาร์ที่ 19 กันยายนนี้ สนใจติดต่อด่วน (รับจำนวนจำกัด)ที่ โทร.(02) 589-2222,( 02) 589-0492, (02) 954-4999 ต่อ 2100 (คุณณัฐสมน) 2101 (คุณญาฑิกานต์) 2102 (คุณวนิดา) และ 2103 (คุณอนุวัฒน์) ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.
"ทางมิสเตอร์ฟุคาว่า ผู้ผลิตสายพันธุ์เขาก็สงสัยว่า ทำไม เราจึงเลือกสายพันธุ์นี้ เพราะเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะปลูกในอากาศเย็น ขณะที่สายพันธุ์อื่นๆ เหมาะกับปลูกในบ้านเรามากกว่า คือสายพันธุ์อากาศร้อนชื้น แต่ผมเห็นว่าไซตามะเป็นเมล่อนที่เด่นสุดยอดมาก ทรงผลเป็นทรงกลม ลายนูนสวยงาม สีเนื้อเป็นสีเหลืองอำพัน เนื้อนุ่ม หอมหวาน ซึ่งจากการเราปลูกมามากมายที่ผ่านมายังเทียบไม่ได้ และยังเป็นผลผลิตที่เด่นที่สุดในญี่ปุ่น และเราก็ปลูกได้คุณภาพดีที่สุดด้วย"
คุณภานุวัฒน์ ใช้เวลาพัฒนาการปลูกไซตามะเป็นเวลา 3 ปี จนมีเทคนิคการปลูกซึ่งแตกต่างกับวิธีการปลูกที่ญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง เนื่องจากสายพันธุ์ดั้งเดิมของไซตามะเจริญเติบโตในอุณหภูมิเพียง 5 องศา เมื่อนำมาปลูกในที่อุณภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศา เขาจึงต้องพยายามปรับปรุงสภาพให้เหมาะสมกับสายพันธุ์ ซึ่งใกล้เคียงกับแตงญี่ปุ่นสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งมาจากแหล่งกำเนิดพันธุ์จากเมืองหนาวเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ความสมบูรณ์ของดิน การระบายน้ำ ยุทธศาสตร์ฟาร์มที่ปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคและแมลง ที่สำคัญคือเรื่องการจัดการต้น ที่ต้องรวดเร็วกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเก็บดอก เก็บแขนง การเก็บใบ การเลือกผลคงต้นที่เหมาะสม รวมถึงการควบคุมปุ๋ยที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและการคำนวณที่เหมาะสมจึงจะให้ผลผลิตที่สมบูรณ์สู่ผู้บริโภคคนไทย ที่สามารถซื้อหามาลิ้มรสได้ในราคาเพียงกิโลกรัมละ 270 บาท ถูกกว่าแตงญี่ปุ่นนำเข้าหลายเท่าตัว
ความน่าสนใจของวาสนาฟาร์ม ยังไม่หมดแค่ผลผลิตพันธุ์ดี แต่แนวคิดการจัดการที่เป็นขั้นตอนและนำหลักเหตุและผลยังเป็นเรื่องที่เกษตรกรทั่วไปสามารถนำมาปรับใช้ได้จริง ปัจจุบันวาสนาฟาร์มจึงเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญอีกแห่งของพระนครศรีอยุธยาที่คุณภานุวัฒน์มุ่งหมายเผยแพร่วิธีคิดแบบเกษตรกรรุ่นใหม่แก่ผู้อื่น พร้อมเปิดฟาร์มเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อนำความยั่งยืนสู่ชุมชน และคงยังไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาสายพันธุ์แตงญี่ปุ่นสายพันธุ์ดีสู่ผู้บริโภคคนไทย ล่าสุดทดลองปลูก "เมล่อนเลมอน" เมล่อนกลิ่นหอม รสหวานอมเปรี้ยว ได้สำเร็จ เตรียมทำตลาดปลายปี และมุ่งนำฟาร์มเข้าสู่ระบบมาตรฐานระดับสากล
หากท่านใดสนใจดูงานในวาสนาฟาร์ม สามารถติดต่อ คุณภานุวัฒน์ ได้ที่เบอร์ข้างต้น หรือถ้าไม่สะดวกขับรถไปเองทีมเกษตรสัญจรจัดให้มีโปรแกรมเที่ยวเมืองกรุงเก่า ซึ่งจะพาทุกท่านไปพบคุณภานุวัฒน์ตัวจริง พร้อมเลือกชิม เลือกซื้อ ผลผลิตแสนอร่อย ราคากันเอง ในวันเสาร์ที่ 19 กันยายนนี้ สนใจติดต่อด่วน (รับจำนวนจำกัด)ที่ โทร.(02) 589-2222,( 02) 589-0492, (02) 954-4999 ต่อ 2100 (คุณณัฐสมน) 2101 (คุณญาฑิกานต์) 2102 (คุณวนิดา) และ 2103 (คุณอนุวัฒน์) ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.
การผลิตฝรั่งแบบประณีตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการปลูกฝรั่งขึ้นค้าง ตอนที่ 2 (จบ)
1.1.57
หลักการและแนวความคิดในการผลิตฝรั่งขึ้นค้าง ได้ดัดแปลงมาจากการผลิตองุ่น แบบปราณีต เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการเลี้ยงกิ่งองุ่น อย่างเป็นระเบียบ แบบก้างปลา ซึ่งทำให้กิ่งมีความสม่ำเสมอและให้ผลผลิตดี ฝรั่งมีการเจริญเติบโตและนิสัยการออกดอกและติดผลคล้ายองุ่น คือ จะออกดอกและติดผลที่ยอดใหม่หลังจากที่มีการกระตุ้นให้ออก ซึ่งฝรั่งสามารถออกดอกและติดผลได้ง่ายกว่า จึงได้พัฒนาระบบการผลิตฝรั่งขึ้นค้างเพื่อให้กิ่งที่สม่ำเสมอและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี
การจัดการกิ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต : ฝรั่งเป็นไม้ผลที่สามารถให้ผลผลิตตลอดปี กรณีที่มีการดูแลรักษาดีผลผลิตจะได้คุณภาพดี ปค่ถ้าหากดูแลไม่ดีผลผลิตที่ได้จะไม่มีคุณภาพตจำเป็นต้องตัดทิ้งและบังคับให้ออกในกิ่งใหม่
หลักการคือ : ในการผลิตฝรั่งขึ้นค้างจะมีข้อดีคือเมื่อโน้มกิ่งที่ให้ผลผลิตหรือกิ่ง cane ลง ในช่วงที่แตกยอดอ่อนหรือที่โคนของกิ่ง cane (ภาพที่ 8 ก และ ข ) ซึ่งกิ่งเหล่านี้จะเป็นกิ่งที่พร้อมจะให้ผลผลิตในช่วงต่อไป โดยเราจะปล่อยให้กิ่งเจริยเติบดตตั้งขึ้นจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จึงทำการตัดแต่งกิ่งที่ให้ผลผลิตแล้วออกไป และโน้มกิ่งกระโดงที่ตั้งอยู่ลงมาแทนที่และยึดกิ่งติดกับลวด
การจัดทรงต้นขึ้นค้างแบบรูปตัววาย (Y-Shaped) ในการเลี้ยงกิ่งฝรั่งขึ้นค้างแบบผืนพบว่า มีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของกิ่งที่ค่อนข้างช้า สาเหตุมาจากการโน้มกิ่งให้นอนราบไปกับค้าง ด้วยองศาของกิ่งและยอดที่ต่ำลงทำให้การเจริญเติบโตของกิ่ง cane ช้าลง และยังส่งผลทำให้กิ่งกระโดงแตกได้ง่ายและเร็วเกินไป การแตกกิ่งกระโดงบนกิ่งกระโดงแตกได้ง่ายและเร็วเกินไป การแตกกิ่งกระโดงบนกิ่งหลังหรือโคนกิ่ง cane จะมีผลทำให้กิ่งกระโงข่มกิ่ง cane ที่กำลังจะให้ผลผลิตทำให้กิ่งไม่เจริญเติบโต ต้องมีการตัดแต่งกิ่งกระโดงทิ้งเพื่อลดการข่มของกิ่งกระโดง ดังนั้น จากการทดสอบจึงได้คิดหาวิธีการลดกิ่งกระโดง โดยการจัดการกิ่งรูปตัววาย (Y-Shape) ซึ่งจะทำให้กิ่ง cane มีความสม่ำเสมอทั้งขนาดและความยาวของกิ่ง นอกจากนี้ยังช่วยลดการเกิดกิ่งกระโดงได้ดีอีกด้วย ซึ่งการจัดทรงต้นแบบตัววาย ได้ทำแปลงทดสอบสาธิตในโครงการพระราชดำริ โครงการชั่งหัวมันที่ จ.เพชรบุรี ซึ่งจะเป็นที่สำหรับศึกษาดูงานให้กับเกษตรกรและผู้สนใจต่อไป
ภาพที่ 8 : การโน้มกิ่งแทนที่กิ่งเก่าที่เก็บผลผลิตแล้ว
ก)ลักษณะกิ่งข้าง cane ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วและมีกิ่งกระโดงตั้งขึ้นบริเวณกิ่งหลังหรือโคนกิ่งโคน cane
ข)ตัดกิ่ง cane เก่าที่เก็บผลผลิตแล้วออก
ค)ภาพหลังการตัดกิ่ง cane ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทิ้งแล้ว
ง)โน้มกิ่ง cane ที่เป็นกิ่งกระโดงลงมาแทนกิ่งเก่าที่ตัดทิ้งไป
แบบจำลองการจัดกิ่งบนค้างแบบเป็นรูปตัว Y โดยการจัดเรียงบนค้างอย่างเป็นระเบียบแบบก้างปลา
ประเมินผลตอบแทนกำไรขาดทุนในรอบ 3 ปีต่อพื้นที่ 1 ไร่
พื้นที่ 0.5 ไร่ ประกอบด้วยดรงเรือนจำนวน 4 โรงเรือน มีจำนวนต้นที่ปลูก 60 ต้น(ระยะปลูฏ 4*3 ตารางเมตร) โดยปลูกจำนวน 6 แถว ๆ ละ 10 ต้น
ในการคำนวณเบื้อต้น ผลผลิตชุดแรกจะเริ่มให้ผลผลิตหลังปลูก 1 ปี และสามารถผผลิตได้ 2 ครั้ง ต่อปี
ซึ่งจะให้ผลผลิต 50 กก. ต่อต้น มีฝรั่งจำนวน 60 ต้น จะได้ 3,000 กก. จำหน่ายในราคา 25 บาท/กก. จะมีรายได้ 75,000 บาท
และคิดค่าจัดการความเสี่ยง 20% ในปีที่ 1 ของผลผลิตทั้งหมด ดังนั้น จะมีรายรับประมาณ 60,000 บาทในปีแรก และ 150,000 บาท ในปีถัดไป (ผลผลิต 2 ครั้ง * 60,000 บาท)
อนึ่งการผลิตฝรั่งเพื่อการค้าแบบการจัดการดูแลและการตัดแต่งและการจัดการกิ่งใหม่ ให้ผลผลิตแทนกิ่งเก่าเป็นเทคโนโลยีแนวใหม่ ถึงแม้ว่าจะลงทุนสูงแต่สามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มทุนได้และมีกำไรในปีที่ 2 และเพิ่มขึ้นในปีที่ 3 และปีถัดไป ตามที่ได้แสดงในตารางประเมินผลตอบแทนกำไรขาดทุนในรอบ 3 ปี
ที่มาและภาพประกอบ :
ดร.ชินพันธ์ ธนารุจ."การผลิตฝรั่งแบบประณีตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการปลูกฝรั่งขึ้นค้าง ตอนจบ".วารสารเคหการเกษตร 37,ฉบับที่ 10(2556):107-110
Read more ...
การจัดการกิ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต : ฝรั่งเป็นไม้ผลที่สามารถให้ผลผลิตตลอดปี กรณีที่มีการดูแลรักษาดีผลผลิตจะได้คุณภาพดี ปค่ถ้าหากดูแลไม่ดีผลผลิตที่ได้จะไม่มีคุณภาพตจำเป็นต้องตัดทิ้งและบังคับให้ออกในกิ่งใหม่
หลักการคือ : ในการผลิตฝรั่งขึ้นค้างจะมีข้อดีคือเมื่อโน้มกิ่งที่ให้ผลผลิตหรือกิ่ง cane ลง ในช่วงที่แตกยอดอ่อนหรือที่โคนของกิ่ง cane (ภาพที่ 8 ก และ ข ) ซึ่งกิ่งเหล่านี้จะเป็นกิ่งที่พร้อมจะให้ผลผลิตในช่วงต่อไป โดยเราจะปล่อยให้กิ่งเจริยเติบดตตั้งขึ้นจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จึงทำการตัดแต่งกิ่งที่ให้ผลผลิตแล้วออกไป และโน้มกิ่งกระโดงที่ตั้งอยู่ลงมาแทนที่และยึดกิ่งติดกับลวด
การจัดทรงต้นขึ้นค้างแบบรูปตัววาย (Y-Shaped) ในการเลี้ยงกิ่งฝรั่งขึ้นค้างแบบผืนพบว่า มีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของกิ่งที่ค่อนข้างช้า สาเหตุมาจากการโน้มกิ่งให้นอนราบไปกับค้าง ด้วยองศาของกิ่งและยอดที่ต่ำลงทำให้การเจริญเติบโตของกิ่ง cane ช้าลง และยังส่งผลทำให้กิ่งกระโดงแตกได้ง่ายและเร็วเกินไป การแตกกิ่งกระโดงบนกิ่งกระโดงแตกได้ง่ายและเร็วเกินไป การแตกกิ่งกระโดงบนกิ่งหลังหรือโคนกิ่ง cane จะมีผลทำให้กิ่งกระโงข่มกิ่ง cane ที่กำลังจะให้ผลผลิตทำให้กิ่งไม่เจริญเติบโต ต้องมีการตัดแต่งกิ่งกระโดงทิ้งเพื่อลดการข่มของกิ่งกระโดง ดังนั้น จากการทดสอบจึงได้คิดหาวิธีการลดกิ่งกระโดง โดยการจัดการกิ่งรูปตัววาย (Y-Shape) ซึ่งจะทำให้กิ่ง cane มีความสม่ำเสมอทั้งขนาดและความยาวของกิ่ง นอกจากนี้ยังช่วยลดการเกิดกิ่งกระโดงได้ดีอีกด้วย ซึ่งการจัดทรงต้นแบบตัววาย ได้ทำแปลงทดสอบสาธิตในโครงการพระราชดำริ โครงการชั่งหัวมันที่ จ.เพชรบุรี ซึ่งจะเป็นที่สำหรับศึกษาดูงานให้กับเกษตรกรและผู้สนใจต่อไป
ภาพที่ 8 : การโน้มกิ่งแทนที่กิ่งเก่าที่เก็บผลผลิตแล้ว
ก)ลักษณะกิ่งข้าง cane ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วและมีกิ่งกระโดงตั้งขึ้นบริเวณกิ่งหลังหรือโคนกิ่งโคน cane
ข)ตัดกิ่ง cane เก่าที่เก็บผลผลิตแล้วออก
ค)ภาพหลังการตัดกิ่ง cane ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทิ้งแล้ว
ง)โน้มกิ่ง cane ที่เป็นกิ่งกระโดงลงมาแทนกิ่งเก่าที่ตัดทิ้งไป
แบบจำลองการจัดกิ่งบนค้างแบบเป็นรูปตัว Y โดยการจัดเรียงบนค้างอย่างเป็นระเบียบแบบก้างปลา
ประเมินผลตอบแทนกำไรขาดทุนในรอบ 3 ปีต่อพื้นที่ 1 ไร่
พื้นที่ 0.5 ไร่ ประกอบด้วยดรงเรือนจำนวน 4 โรงเรือน มีจำนวนต้นที่ปลูก 60 ต้น(ระยะปลูฏ 4*3 ตารางเมตร) โดยปลูกจำนวน 6 แถว ๆ ละ 10 ต้น
ในการคำนวณเบื้อต้น ผลผลิตชุดแรกจะเริ่มให้ผลผลิตหลังปลูก 1 ปี และสามารถผผลิตได้ 2 ครั้ง ต่อปี
ซึ่งจะให้ผลผลิต 50 กก. ต่อต้น มีฝรั่งจำนวน 60 ต้น จะได้ 3,000 กก. จำหน่ายในราคา 25 บาท/กก. จะมีรายได้ 75,000 บาท
และคิดค่าจัดการความเสี่ยง 20% ในปีที่ 1 ของผลผลิตทั้งหมด ดังนั้น จะมีรายรับประมาณ 60,000 บาทในปีแรก และ 150,000 บาท ในปีถัดไป (ผลผลิต 2 ครั้ง * 60,000 บาท)
อนึ่งการผลิตฝรั่งเพื่อการค้าแบบการจัดการดูแลและการตัดแต่งและการจัดการกิ่งใหม่ ให้ผลผลิตแทนกิ่งเก่าเป็นเทคโนโลยีแนวใหม่ ถึงแม้ว่าจะลงทุนสูงแต่สามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มทุนได้และมีกำไรในปีที่ 2 และเพิ่มขึ้นในปีที่ 3 และปีถัดไป ตามที่ได้แสดงในตารางประเมินผลตอบแทนกำไรขาดทุนในรอบ 3 ปี
ที่มาและภาพประกอบ :
ดร.ชินพันธ์ ธนารุจ."การผลิตฝรั่งแบบประณีตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการปลูกฝรั่งขึ้นค้าง ตอนจบ".วารสารเคหการเกษตร 37,ฉบับที่ 10(2556):107-110
การผลิตฝรั่งแบบประณีตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการปลูกฝรั่งขึ้นค้าง ตอนที่ 1
1.1.57
หลักการและแนวความคิดในการผลิตฝรั่งขึ้นค้างได้ดัดแปลงมาจากการผลิตองุ่นแบบประณีต เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการเลี้ยงกิ่งให้มีความสม่ำเสมอและให้ผลผลิตได้ดี ฝรั่งมีการเจริญเติบโตและนิสัยการออกดอกติดผลที่คล้ายกับองุ่น คือ จะออกดอกและติดผลที่ยอดใหม่หลังจากมีการกระตุ้นให้ออก ซึ่งฝรั่งสามารถออกดอกและติดผลได้ง่ายกว่า จึงได้พัฒนาระบบการผลิตฝรั่งขึ้นค้างเพื่อให้ได้กิ่งที่สม่ำเสมอ และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี
ภาพที่ 1: ลักษณะการผลิตฝรั่งขึ้นค้างโดยการทำค้างแบบผืน(Pergola)ที่ทำให้การจัดการดูแลรักษาได้ง่าย
ฝรั่งมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเพราะเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทยซึ่งคนไทยรู้จักและนิยมบริโภคฝรั่งกันอย่างแพร่หลายทั้งในรูปผลสดและแปรรุปต่างๆ จากที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นผลดีต่อผู้ผลิตเพราะสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ง่าย และจะได้ราคาสูงขึ้นถ้าหากสามารถ ผลิตให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง
ปัญหาของการผลิตฝรั่งโดยทั่วไป คือ ฝรั่งเป็นไม้ผลที่ปลูกง่ายเจริญเติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคของประเทศไทยจึงการปลูกกันอย่างแพร่หลาย มีทั้งการปลูกแบบที่มีการจัดการที่ดีและปลูกแบบไม่มีการจัดการเลย ทำให้คุณภาพผลผลิตไม่สม่ำเสมอและมีราคาไม่คงที่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องโรคและแมลง โดยเฉพาะแมลงวันผลไม้ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ผลผลิตฝรั่งไม่ได้คุณภาพ และไม่สามารถจำหน่ายได้
กรณีที่จะปลูกเป็นการค้า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องห่อผลทุกผลซึ่งการห่อผลจะทำให้ผิวสวยและมีคุณภาพดี ฝรั่งเป็นไม้ผลที่ออกดอกและติดผลง่ายไม่จำเป็นต้องมีการบังคับให้ยุ่งยากแบบองุ่นหรือลำไยเพียงตัดแต่งกิ่งให้ได้กิ่งที่สม่ำเสมอก็จะให้ผลผลิตที่ดีและสม่ำเสมอ เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดทรงต้นแบบขึ้นค้างและการเลี้ยงกิ่งแบบก้างปลา(ภาพที่ 5 ) โดยให้กิ่งที่จะให้ผลผลิต(cane)มีขนาดและความยาวสม่ำเสมอกันทุกกิ่งซึ่งจะส่งผลให้การออกดอกและติดผลง่าย ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี ประกอบกับการทำค้างจะช่วยให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดี ลดการเกิดโรค ช่วยลดการใช้สารเคมี และ ยังสะดวกในการห่อผล ทำให้ผลผลิตได้คุณภาพดี นอกจากนี้กิ่งบนค้างยังสามารบดบังแสงแดดให้กับผลผลิต จึงไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษห่อผลก่อนที่จะห่อด้วยถุงหลาสติก ปละยังช่วยบังแสงแดดให้กับชาวสวนผู้ปลูกได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในการทดสอบการผลิตฝรั่งแบบขึ้นค้าง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นต้นแบบและเป็นแปลงสาธิตในการผลิตแบบประณีต โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิตฝรั่งให้ได้ผลผลิตที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการผลิตนอกฤดู หรือ ผลิตให้ได้ผลผลิตตลอดทั้งปี ทำให้ผู้ปลูกมีรายได้ดีและเป็นการส่งเสริมเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตฝรั่งระบบค้าง ให้กับเกษตรกรปละผู้สนใจทั่วไปให้มีการผลิตที่ปราณีตและได้คุณภาพอย่างแพร่หลายต่อไป
ภาพที่ 2 : ลักษณะการทำค้างแบบผืนผ้า(Pergola) และการดึงลวดททางเดียวจากหัวแปลงไปท้ายแปลง
++ การเตรียมการจัดทำค้าง ++
การทำค้างนอกจากทำให้การจัดการดูแลฝรั่งได้ง่ายแล้วยังช่วยให้มีการรับแสงแดดได้ดีและมีการระบายถ่ายเทอากาศ ลดการเกิดโรคและรวมถึงลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรคด้วย ซึ่งการทำค้างสามารถทำได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการจัดการหรือวัตถุประสงค์ในการจัดการ เช่น ทำเพื่อผลิตฝรั่งเพื่อการค้าหรือทำเพื่อเป็นซุ้ม หรือร่มเงา เพื่อการท่องเที่ยวหรือเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ในที่นี้ผู้เขียนขอเน้นการจัดการเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเพื่อการค้า โดยสามารถทำค้างเป็น 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 : การทำค้างเป็นผืน(Pergola) สามารถทำค้างเป็นผืนทั้งแปลง (ภาพ 2 ) โดยใช้เสาคอนกรีตอัดแรงหรือเสาไม้เนื้อแข็งขุดฝังดินและใช้ไม้เนื้อแข็งหรือเหล้กกล่องหรือเหล็กตัวซีทำคาน ให้มีความสูงจากผิวดินประมาณ 180 ซม. ดึงเส้นลวดเบอร์ 16 แนวหัวท้ายแปลงให้มีระยะห่างระหว่างเส้นลวดประมาณ 30 ซม. เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการกิ่งบนค้าง และการระบายอากาศ ลดการเกิดโรค(ภาพที่ 1) ซึ่งการทำค้างแบบเป็นผินจะช่วยลดต้นทุนแต่มีข้อเสียคือกิ่งที่ได้อาจมีขนาดเล็กลง แต่จะมีข้อดีคือฝรั่งมีความหวานสูง
แบบที่ 2 : การทำค้างรูปตัววาย (Y-shaped) การทำค้างแบบนี้มีลักษณะคล้ายกับการทำเป็นผืนเพียงแต่จะยุ่งยากกว่าเล็กน้อบคือต้องลดระดับเส้นลวดในส่วนที่เป็นกิ่งหลักลงเพื่อให้กิ่ง cane ตั้งขึ้นเป็นมุม 45-60 องศา จะทำให้กิ่ง cane สามารถเจริญเติบโตได้ดีทำให้ได้กิ่งที่ใหญ่และโดยทั่วไปผรั่งเป็นไม้ผลที่ออกดอกและติดผลในยอดที่แตกใหม่ได้ง่าย ดังนั้นการโน้มกิ่งลงมาเพียงเล็กน้อยจะไม่ส่งผลต่อการออกดอกติดผล แต่ทำให้กิ่ง cane มี่คุณภาพดี และจะส่งผลให้ผลผลิตที่ได้มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดีขึ้นด้วย (ภาพที่ 3 ) ซึ่งในการทำค้างแบบตัววายได้ทำเป็นแปลงสาธิตที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี
ภาพที่ 3 : ลักษณะทำค้างรูปตัววาย(Y-shaped) และการดึงลวดทางเดียวจากหัวแปลงไปท้ายแปลง
การจัดการกิ่งฝรั่งบนค้าง : ฝรั่งเป็นไม้ยืนต้น เมื่อนำมาจัดการกิ่งขึ้นค้างถือเป็นเทคนิคการจัดการแบบใหม่ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ความเข้าใจถึงนิสัยการเจริยเติบดตของฝรั่งและนำมาประยุกตืใช้กับการจัดการกิ่งบนค้าง ซึ่งดดยทั่วไปฝรัางจะออกดอกและติดผลได้ดีหลังจากที่แตกยอดใหม่ กล่าวคือ เมื่อมียอดใหม่แตกออกมาจากกิ่งที่ให้ผลผลิต (cane) ประมาณ 3-5 คู่ใบก็จะมีดอกออกมาให้เห็น ดังนั้นถ้าเราทำการจัดเรียงกิ่ง cane ให้เป็นระเบียบแบบก้างปลาบนค้าง(ภาพที่ 4)และบังคับให้กิ่ง cane มีขนาดและความยาวสม่ำเสมอทั้งต้น ซึ่งจะได้จำนวนกิ่ง cane ประมาณ 40 กิ่งต่อต้น (ระยะปลูกระหว่างแถว 3 เมตร ระหว่างต้น 4 เมตร)
ภาพที่ 4 : แบบจำลองการจัดกิ่งบนค้างแบบเป็นผืน โดยการจัดเรียง อย่างเป็นระเบียบแบบก้างปลา
ในแต่ละกิ่ง cane จะมีความยาวประมาณ 1-1.5 เมตร สามารถบังคับให้เกิดยอดใหม่ได้ 10-15 ยอดใหม่ ในการจัดกิ่งเมื่อฝรั่งให้ผลผลิตจะทำให้สามารถให้ผลผลิตต่อกิ่งได้มากขึ้นคือ 5 ผลต่อ 1 กิ่ง cane (โดยทั่วไปจะตัดแต่งผลทิ้งโดยให้ติด ผลประมาณ 5 ผลต่อกิ่ง cane) เพราะมีเส้นลวดรองรับกิ่งที่ให้ผลผลิตทำให้สามารถให้ผลผลิตต่อกิ่ง cane เพิ่มได้มากขึ้นและลดปัญหาเรื่องกิ่งหักเมื่อผลผลิตมีขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพที่ 5 : การปลูกฝรั่งขึ้นค้างที่มีการจัดการกิ่งแบบประณีต
(ก) ลักษระค้างแบบผืน
(ข) การเด็ดยอดเพื่อแตก 2 ข้าง และ เลี้ยงต้นฝรั่งขึ้นค้าง
(ค)การเลี้ยงกิ่งหลักออก 2 ข้างตามแนวลวด
(ง)การเลี้ยงแบบกิ่งก้างปลา
ภาพที่ 6 : การจัดกิ่งฝรั่งขึ้นค้างที่มีการจัดการแบบประณีต
ก)ลักษณะกิ่งข้าง cane ที่แตกออกจากกิ่งหลัก
ข)ปล่อยกิ่งข้าง cane ให้เจริญตั้งตรงขึ้นไปประมาณ 80 ซม.
ค)โน้มกิ่ง cane ลงโดยการโน้มสลับกิ่งให้ออกซ้าย-ขวาแบบก้างปลา และผูกยึดติดแนวลวด
ง)เด็ดปลายยอดกิ่ง cane ที่ได้ความยาวตามต้องการเพื่อให้กิ่งที่เจริญยังไม่เต็มที่เจริญต่อ
จ)เครื่องยึดกิ่งให้ติดแนวลวดจะช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
ฉ)กิ่งที่ยึดติดกับลวดและจัดกิ่งอย่างเป็นระเบียบ
นอกจากนี้การจัดการกิ่งบนค้างจะทำให้ง่ายต่อการประมาณการณ์ผลผลิตโดยการไว้จำนวนหิ่ง ประมาณ 10 กิ่ง cane ต่อความยาวของกิ่งประมาณ 1 เมตร ในแต่ละกิ่ง cane จะให้ผลผลิตประมาณ 5 ผล ถ้าปลูกระหว่างต้น 4 เมตร จะได้กิ่ง cane จำนวน 40 กิ่งซึ่งจะได้ผลผลิตประมาณ 200 ผล ปริมาณ 2-3 ผลต่อกิโลกรัม จะได้ผลผลิต 50-70 กิโลกรัม และจะเพิ่มมากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อต้นมีอายุมากขึ้น ถือเป็นการจัดการผลผลิตที่ประณีตและคุ้มค่าต่อการลงทุน
++ วิธีการเลี้ยงกิ่ง ++
1. เริ่มจากการปลูกผรั่งให้มีลำต้นเดี่ยวตั้งตรงจนถึงค้างที่ความสูงประมาณ 180 ซม. โดยการใช้ไม้หรือเชือกบังคับต้นให้ตั้งตรงและหมั่นเด็ดยอดที่แตกด้านข้างลำต้นออกเพื่อให้เจริญเติบดตให้ถึงค้างได้อย่างรวดเร็ว
2. เมื่อต้นถึงค้างให้เด็ดปลายยอดออก โดยเด็ดยอดให้ต่ำกว่าค้างประมาณ 25 ซม. หรือ ประมาณ 1 คืบ จากนั้นปล่อยฝห้แตกยอดข้าง 2 ยอด และปล่อยให้เจริญเติบโตและยางพ้นค้างประมาณ 80 ซม.(ภาพที่ 5 ข)
3. โน้มกิ่งทั้ง 2 ด้าน(กิ่งหลัก) ที่สูงจากลวดลงและทำการยึดกิ่งให้จิดกับเส้นลวดทั้ง 2 กิ่ง (ภาพที่ 5 ค)
4. เมื่อโน้มกิ่งหลักลงจะทำให้แตกกิ่งข้างออกจากกิ่งหลัก ปล่อยให้กิ่งข้างเจริญเติบโตและมีความยาวประมาณ 80 ซม. จากนั้นโน้มกิ่งลงให้กิ่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบคล้ายก้างปลา(เลี้ยงกิ่งแบบก้างปลา)และมัดกิ่งให้ยึดติดกับลวก ซึ่งกิ่งก้างปลาจะเปลี่ยนเป็นกิ่งที่ให้ผลผลิต(cane)(ภาพที่ 5 ง)
5. เลี้ยงกิ่งหลักและกิ่ง cane ให้มีความยาวและกิ่งเต็มค้างโดยการเด็ดปลายยอดของกิ่ง cane เมื่อได้ความยาวตามที่ต้องการ(1-1.5 เมตร) ซึ่งการเด็ดยอดจะเป็น การบังคับให้มีการเจริญบริเวณส่วนปลายยอดของกิ่งหลัก และ กิ่ง cane ที่แตกออกมาใหม่ข้าวงยอดหลักเพื่อบังคับให้มีการเจริญเติบโตของกิ่งจนเต็มค้างและยึดกิ่งให้มีช่องว่างที่สม่ำเสมอ(15-20 ซม.) เพื่อให้แดดส่องถึง เพื่อลดการระบาดของโรคและทำให้ใบรับแสงได้เต็มที่ (ภาพที่ 6 ก-ง)
6. ในช่วงการเจริญเติบโตให้ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และ ปุ๋ยเคมี สูตร46-0-0 ผสมกับ 15-15-15 อัตรา 20 กรัม (1 ช้อนแกง ) ต่อต้น ใส่จนกระทั่งกิ่งโตเต็มค้าง
7. เมื่อกิ่งเต็มค้างให้เปลี่ยนใส่ปุ๋ยสุตร 8-24-24 เพื่อกระตุ้นการสร้างตาดอก เมื่อกิ่ง cane เริ้มเปลี่ยนสีให้ทำการงดน้ำประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการออกดอกที่สม่ำเสมอ
8. เมื่อแตกยอดใหม่บนกิ่ง cane ประมาณ 3-5 คู่ ใบจะเริ่มออกดอกที่ยอดใหม่ (ภาพที่ 7 ก) และยอดที่แตกออกจากกิ่ง cane ที่มีจำนวนมากให้ทำการปลิดหรือตัดทิ้งให้เหลือไว้ประมาณ 5-7 ยอดโดยสลับยอดให้ออกซ้าย-ขวา
ภาพที่ 7 : การจัดการผลผลิตฝรั่งขึ้นค้าง
(ก) ลักษระยอดที่แตกจากกิ่ง cane และมีดอกจำนวนมาก
(ข) ยอดที่แตกจากกิ่ง cane ที่ต้องตัดทิ้งให้เหลือเพียง 5-7 ยอด
(ค) ขนาดผลที่พร้อมจะห่อ
(ง) ถุงห่อใช้ถุงห่อมะม่วง(ถุงคาร์บอนภายนอกสีน้ำตาล ภายในสีดำ )
และจะติดผลภายใน 1 สัปดาห์ เมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้นเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ทำให้การผลิตผลในแต่ละยอดอ่อนที่แตกใหม่ให้เหลือ 1 ผล ต่อยอด (ภาพที่ 7 ข)
โดยเลือกผลที่มีรูปทรงที่ดีที่สุดและไม่ถูกโรคหรือแมลงเข้าทำลาย (ภาพที่ 7ค)
9. ห่อผลด้วยถุงหลาสติกใส(ไม่ต้องห่อกระดาษเพราะมีใบบังแสงแดด) หรือถุงห่อที่เป็นกระดาษสีขาวหรือถ้าต้องการให้สีผิวผลออกมาสีขาวให้ใช้ถุงห่อกระดาษคาร์บอน(ถุงห่อผลมะม่วง) (ภาพที่ 7 ง)
10. ผลผลิตที่ได้จะมีทั้งปริมาณและคุณภาพที่ดีขึ้นเนื่องจากกิ่งและยอดที่ให้ผลผลิตมีขนาดสมดุลกันทั้งต้น ทำให้การกระจายธาตุอาหารเป็นไปอย่างทั่วถึง ทั้งนี้การห่อผลยังช่วยในการเพิ่มขนาดผลผลิตได้และยังป้องกันการเข้าทำของโรค แมลง และ สัตว์ต่างๆ ได้
ติดตามอ่านเทคโนโลยีการปลูกฝรั่งขึ้นค้างต่อในฉบับหน้า ..
ที่มาและภาพประกอบ :
ดร.ชินพันธ์ ธนารุจ."การผลิตฝรั่งแบบประณีตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการปลูกฝรั่งขึ้นค้าง".วารสารเคหการเกษตร 37, ฉบับที่ 9(2556):109-113
Read more ...
ฝรั่งมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเพราะเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทยซึ่งคนไทยรู้จักและนิยมบริโภคฝรั่งกันอย่างแพร่หลายทั้งในรูปผลสดและแปรรุปต่างๆ จากที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นผลดีต่อผู้ผลิตเพราะสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ง่าย และจะได้ราคาสูงขึ้นถ้าหากสามารถ ผลิตให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง
ปัญหาของการผลิตฝรั่งโดยทั่วไป คือ ฝรั่งเป็นไม้ผลที่ปลูกง่ายเจริญเติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคของประเทศไทยจึงการปลูกกันอย่างแพร่หลาย มีทั้งการปลูกแบบที่มีการจัดการที่ดีและปลูกแบบไม่มีการจัดการเลย ทำให้คุณภาพผลผลิตไม่สม่ำเสมอและมีราคาไม่คงที่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องโรคและแมลง โดยเฉพาะแมลงวันผลไม้ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ผลผลิตฝรั่งไม่ได้คุณภาพ และไม่สามารถจำหน่ายได้
กรณีที่จะปลูกเป็นการค้า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องห่อผลทุกผลซึ่งการห่อผลจะทำให้ผิวสวยและมีคุณภาพดี ฝรั่งเป็นไม้ผลที่ออกดอกและติดผลง่ายไม่จำเป็นต้องมีการบังคับให้ยุ่งยากแบบองุ่นหรือลำไยเพียงตัดแต่งกิ่งให้ได้กิ่งที่สม่ำเสมอก็จะให้ผลผลิตที่ดีและสม่ำเสมอ เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดทรงต้นแบบขึ้นค้างและการเลี้ยงกิ่งแบบก้างปลา(ภาพที่ 5 ) โดยให้กิ่งที่จะให้ผลผลิต(cane)มีขนาดและความยาวสม่ำเสมอกันทุกกิ่งซึ่งจะส่งผลให้การออกดอกและติดผลง่าย ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี ประกอบกับการทำค้างจะช่วยให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดี ลดการเกิดโรค ช่วยลดการใช้สารเคมี และ ยังสะดวกในการห่อผล ทำให้ผลผลิตได้คุณภาพดี นอกจากนี้กิ่งบนค้างยังสามารบดบังแสงแดดให้กับผลผลิต จึงไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษห่อผลก่อนที่จะห่อด้วยถุงหลาสติก ปละยังช่วยบังแสงแดดให้กับชาวสวนผู้ปลูกได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในการทดสอบการผลิตฝรั่งแบบขึ้นค้าง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นต้นแบบและเป็นแปลงสาธิตในการผลิตแบบประณีต โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิตฝรั่งให้ได้ผลผลิตที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการผลิตนอกฤดู หรือ ผลิตให้ได้ผลผลิตตลอดทั้งปี ทำให้ผู้ปลูกมีรายได้ดีและเป็นการส่งเสริมเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตฝรั่งระบบค้าง ให้กับเกษตรกรปละผู้สนใจทั่วไปให้มีการผลิตที่ปราณีตและได้คุณภาพอย่างแพร่หลายต่อไป
ภาพที่ 2 : ลักษณะการทำค้างแบบผืนผ้า(Pergola) และการดึงลวดททางเดียวจากหัวแปลงไปท้ายแปลง
++ การเตรียมการจัดทำค้าง ++
การทำค้างนอกจากทำให้การจัดการดูแลฝรั่งได้ง่ายแล้วยังช่วยให้มีการรับแสงแดดได้ดีและมีการระบายถ่ายเทอากาศ ลดการเกิดโรคและรวมถึงลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรคด้วย ซึ่งการทำค้างสามารถทำได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการจัดการหรือวัตถุประสงค์ในการจัดการ เช่น ทำเพื่อผลิตฝรั่งเพื่อการค้าหรือทำเพื่อเป็นซุ้ม หรือร่มเงา เพื่อการท่องเที่ยวหรือเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ในที่นี้ผู้เขียนขอเน้นการจัดการเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเพื่อการค้า โดยสามารถทำค้างเป็น 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 : การทำค้างเป็นผืน(Pergola) สามารถทำค้างเป็นผืนทั้งแปลง (ภาพ 2 ) โดยใช้เสาคอนกรีตอัดแรงหรือเสาไม้เนื้อแข็งขุดฝังดินและใช้ไม้เนื้อแข็งหรือเหล้กกล่องหรือเหล็กตัวซีทำคาน ให้มีความสูงจากผิวดินประมาณ 180 ซม. ดึงเส้นลวดเบอร์ 16 แนวหัวท้ายแปลงให้มีระยะห่างระหว่างเส้นลวดประมาณ 30 ซม. เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการกิ่งบนค้าง และการระบายอากาศ ลดการเกิดโรค(ภาพที่ 1) ซึ่งการทำค้างแบบเป็นผินจะช่วยลดต้นทุนแต่มีข้อเสียคือกิ่งที่ได้อาจมีขนาดเล็กลง แต่จะมีข้อดีคือฝรั่งมีความหวานสูง
แบบที่ 2 : การทำค้างรูปตัววาย (Y-shaped) การทำค้างแบบนี้มีลักษณะคล้ายกับการทำเป็นผืนเพียงแต่จะยุ่งยากกว่าเล็กน้อบคือต้องลดระดับเส้นลวดในส่วนที่เป็นกิ่งหลักลงเพื่อให้กิ่ง cane ตั้งขึ้นเป็นมุม 45-60 องศา จะทำให้กิ่ง cane สามารถเจริญเติบโตได้ดีทำให้ได้กิ่งที่ใหญ่และโดยทั่วไปผรั่งเป็นไม้ผลที่ออกดอกและติดผลในยอดที่แตกใหม่ได้ง่าย ดังนั้นการโน้มกิ่งลงมาเพียงเล็กน้อยจะไม่ส่งผลต่อการออกดอกติดผล แต่ทำให้กิ่ง cane มี่คุณภาพดี และจะส่งผลให้ผลผลิตที่ได้มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดีขึ้นด้วย (ภาพที่ 3 ) ซึ่งในการทำค้างแบบตัววายได้ทำเป็นแปลงสาธิตที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี
ภาพที่ 3 : ลักษณะทำค้างรูปตัววาย(Y-shaped) และการดึงลวดทางเดียวจากหัวแปลงไปท้ายแปลง
การจัดการกิ่งฝรั่งบนค้าง : ฝรั่งเป็นไม้ยืนต้น เมื่อนำมาจัดการกิ่งขึ้นค้างถือเป็นเทคนิคการจัดการแบบใหม่ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ความเข้าใจถึงนิสัยการเจริยเติบดตของฝรั่งและนำมาประยุกตืใช้กับการจัดการกิ่งบนค้าง ซึ่งดดยทั่วไปฝรัางจะออกดอกและติดผลได้ดีหลังจากที่แตกยอดใหม่ กล่าวคือ เมื่อมียอดใหม่แตกออกมาจากกิ่งที่ให้ผลผลิต (cane) ประมาณ 3-5 คู่ใบก็จะมีดอกออกมาให้เห็น ดังนั้นถ้าเราทำการจัดเรียงกิ่ง cane ให้เป็นระเบียบแบบก้างปลาบนค้าง(ภาพที่ 4)และบังคับให้กิ่ง cane มีขนาดและความยาวสม่ำเสมอทั้งต้น ซึ่งจะได้จำนวนกิ่ง cane ประมาณ 40 กิ่งต่อต้น (ระยะปลูกระหว่างแถว 3 เมตร ระหว่างต้น 4 เมตร)
ภาพที่ 4 : แบบจำลองการจัดกิ่งบนค้างแบบเป็นผืน โดยการจัดเรียง อย่างเป็นระเบียบแบบก้างปลา
ในแต่ละกิ่ง cane จะมีความยาวประมาณ 1-1.5 เมตร สามารถบังคับให้เกิดยอดใหม่ได้ 10-15 ยอดใหม่ ในการจัดกิ่งเมื่อฝรั่งให้ผลผลิตจะทำให้สามารถให้ผลผลิตต่อกิ่งได้มากขึ้นคือ 5 ผลต่อ 1 กิ่ง cane (โดยทั่วไปจะตัดแต่งผลทิ้งโดยให้ติด ผลประมาณ 5 ผลต่อกิ่ง cane) เพราะมีเส้นลวดรองรับกิ่งที่ให้ผลผลิตทำให้สามารถให้ผลผลิตต่อกิ่ง cane เพิ่มได้มากขึ้นและลดปัญหาเรื่องกิ่งหักเมื่อผลผลิตมีขนาดใหญ่ขึ้น
(ก) ลักษระค้างแบบผืน
(ข) การเด็ดยอดเพื่อแตก 2 ข้าง และ เลี้ยงต้นฝรั่งขึ้นค้าง
(ค)การเลี้ยงกิ่งหลักออก 2 ข้างตามแนวลวด
(ง)การเลี้ยงแบบกิ่งก้างปลา
ก)ลักษณะกิ่งข้าง cane ที่แตกออกจากกิ่งหลัก
ข)ปล่อยกิ่งข้าง cane ให้เจริญตั้งตรงขึ้นไปประมาณ 80 ซม.
ค)โน้มกิ่ง cane ลงโดยการโน้มสลับกิ่งให้ออกซ้าย-ขวาแบบก้างปลา และผูกยึดติดแนวลวด
ง)เด็ดปลายยอดกิ่ง cane ที่ได้ความยาวตามต้องการเพื่อให้กิ่งที่เจริญยังไม่เต็มที่เจริญต่อ
จ)เครื่องยึดกิ่งให้ติดแนวลวดจะช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
ฉ)กิ่งที่ยึดติดกับลวดและจัดกิ่งอย่างเป็นระเบียบ
นอกจากนี้การจัดการกิ่งบนค้างจะทำให้ง่ายต่อการประมาณการณ์ผลผลิตโดยการไว้จำนวนหิ่ง ประมาณ 10 กิ่ง cane ต่อความยาวของกิ่งประมาณ 1 เมตร ในแต่ละกิ่ง cane จะให้ผลผลิตประมาณ 5 ผล ถ้าปลูกระหว่างต้น 4 เมตร จะได้กิ่ง cane จำนวน 40 กิ่งซึ่งจะได้ผลผลิตประมาณ 200 ผล ปริมาณ 2-3 ผลต่อกิโลกรัม จะได้ผลผลิต 50-70 กิโลกรัม และจะเพิ่มมากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อต้นมีอายุมากขึ้น ถือเป็นการจัดการผลผลิตที่ประณีตและคุ้มค่าต่อการลงทุน
++ วิธีการเลี้ยงกิ่ง ++
1. เริ่มจากการปลูกผรั่งให้มีลำต้นเดี่ยวตั้งตรงจนถึงค้างที่ความสูงประมาณ 180 ซม. โดยการใช้ไม้หรือเชือกบังคับต้นให้ตั้งตรงและหมั่นเด็ดยอดที่แตกด้านข้างลำต้นออกเพื่อให้เจริญเติบดตให้ถึงค้างได้อย่างรวดเร็ว
2. เมื่อต้นถึงค้างให้เด็ดปลายยอดออก โดยเด็ดยอดให้ต่ำกว่าค้างประมาณ 25 ซม. หรือ ประมาณ 1 คืบ จากนั้นปล่อยฝห้แตกยอดข้าง 2 ยอด และปล่อยให้เจริญเติบโตและยางพ้นค้างประมาณ 80 ซม.(ภาพที่ 5 ข)
3. โน้มกิ่งทั้ง 2 ด้าน(กิ่งหลัก) ที่สูงจากลวดลงและทำการยึดกิ่งให้จิดกับเส้นลวดทั้ง 2 กิ่ง (ภาพที่ 5 ค)
4. เมื่อโน้มกิ่งหลักลงจะทำให้แตกกิ่งข้างออกจากกิ่งหลัก ปล่อยให้กิ่งข้างเจริญเติบโตและมีความยาวประมาณ 80 ซม. จากนั้นโน้มกิ่งลงให้กิ่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบคล้ายก้างปลา(เลี้ยงกิ่งแบบก้างปลา)และมัดกิ่งให้ยึดติดกับลวก ซึ่งกิ่งก้างปลาจะเปลี่ยนเป็นกิ่งที่ให้ผลผลิต(cane)(ภาพที่ 5 ง)
5. เลี้ยงกิ่งหลักและกิ่ง cane ให้มีความยาวและกิ่งเต็มค้างโดยการเด็ดปลายยอดของกิ่ง cane เมื่อได้ความยาวตามที่ต้องการ(1-1.5 เมตร) ซึ่งการเด็ดยอดจะเป็น การบังคับให้มีการเจริญบริเวณส่วนปลายยอดของกิ่งหลัก และ กิ่ง cane ที่แตกออกมาใหม่ข้าวงยอดหลักเพื่อบังคับให้มีการเจริญเติบโตของกิ่งจนเต็มค้างและยึดกิ่งให้มีช่องว่างที่สม่ำเสมอ(15-20 ซม.) เพื่อให้แดดส่องถึง เพื่อลดการระบาดของโรคและทำให้ใบรับแสงได้เต็มที่ (ภาพที่ 6 ก-ง)
6. ในช่วงการเจริญเติบโตให้ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และ ปุ๋ยเคมี สูตร46-0-0 ผสมกับ 15-15-15 อัตรา 20 กรัม (1 ช้อนแกง ) ต่อต้น ใส่จนกระทั่งกิ่งโตเต็มค้าง
7. เมื่อกิ่งเต็มค้างให้เปลี่ยนใส่ปุ๋ยสุตร 8-24-24 เพื่อกระตุ้นการสร้างตาดอก เมื่อกิ่ง cane เริ้มเปลี่ยนสีให้ทำการงดน้ำประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการออกดอกที่สม่ำเสมอ
8. เมื่อแตกยอดใหม่บนกิ่ง cane ประมาณ 3-5 คู่ ใบจะเริ่มออกดอกที่ยอดใหม่ (ภาพที่ 7 ก) และยอดที่แตกออกจากกิ่ง cane ที่มีจำนวนมากให้ทำการปลิดหรือตัดทิ้งให้เหลือไว้ประมาณ 5-7 ยอดโดยสลับยอดให้ออกซ้าย-ขวา
(ก) ลักษระยอดที่แตกจากกิ่ง cane และมีดอกจำนวนมาก
(ข) ยอดที่แตกจากกิ่ง cane ที่ต้องตัดทิ้งให้เหลือเพียง 5-7 ยอด
(ค) ขนาดผลที่พร้อมจะห่อ
(ง) ถุงห่อใช้ถุงห่อมะม่วง(ถุงคาร์บอนภายนอกสีน้ำตาล ภายในสีดำ )
และจะติดผลภายใน 1 สัปดาห์ เมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้นเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ทำให้การผลิตผลในแต่ละยอดอ่อนที่แตกใหม่ให้เหลือ 1 ผล ต่อยอด (ภาพที่ 7 ข)
โดยเลือกผลที่มีรูปทรงที่ดีที่สุดและไม่ถูกโรคหรือแมลงเข้าทำลาย (ภาพที่ 7ค)
9. ห่อผลด้วยถุงหลาสติกใส(ไม่ต้องห่อกระดาษเพราะมีใบบังแสงแดด) หรือถุงห่อที่เป็นกระดาษสีขาวหรือถ้าต้องการให้สีผิวผลออกมาสีขาวให้ใช้ถุงห่อกระดาษคาร์บอน(ถุงห่อผลมะม่วง) (ภาพที่ 7 ง)
10. ผลผลิตที่ได้จะมีทั้งปริมาณและคุณภาพที่ดีขึ้นเนื่องจากกิ่งและยอดที่ให้ผลผลิตมีขนาดสมดุลกันทั้งต้น ทำให้การกระจายธาตุอาหารเป็นไปอย่างทั่วถึง ทั้งนี้การห่อผลยังช่วยในการเพิ่มขนาดผลผลิตได้และยังป้องกันการเข้าทำของโรค แมลง และ สัตว์ต่างๆ ได้
ติดตามอ่านเทคโนโลยีการปลูกฝรั่งขึ้นค้างต่อในฉบับหน้า ..
ที่มาและภาพประกอบ :
ดร.ชินพันธ์ ธนารุจ."การผลิตฝรั่งแบบประณีตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยการปลูกฝรั่งขึ้นค้าง".วารสารเคหการเกษตร 37, ฉบับที่ 9(2556):109-113
ปลูกไม้ผลในกระถาง
1.1.57
การปลูกไม้ผลในกระถางแบบนี้ นอกจากจะได้ความสวยงามแล้ว ยังได้ผลผลิตไว้รับประทานด้วย อีกทั้งสามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่จำกัดเหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ ของชุมชนเมืองในปัจจุบัน แต่การปลูกในกระถาง มักจะมีปัญหาต้นไม้ผลให้ผลผลิตน้อย หรือไม่ยอมให้ผลเลย
ตามทันเกษตรมีคำแนะนำการใช้วัสดุปลูกให้เหมาะสม กับการปลูกไม้ผลในกระถาง ที่ช่วยให้ได้ผลผลิตดี ซึ่งเป็นผลงานการวิจัยของ คุณพิชัย สมบูรณ์วงศ์ นักวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่
วัสดุปลูกที่เหมาะสม ต้องโปร่งและเบา ที่สำคัญต้องมาจากแหล่งที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง แนะนำให้ใช้
แกลบดิบเก่า 2 ส่วน ผสมกับดินดำและปุ๋ยคอกจากมูลวัว อย่างละ 1 ส่วน
ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมต่อต้นไม้ผลในกระถาง นำมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ลงในถุงดำขนาด 4 X 7 นิ้ว ประมาณ 1 ส่วน 4 ของถุง นำกิ่งพันธุ์ไม้ผลลงปลูก ให้กิ่งตั้งตรง แล้วตักวัสดุปลูกใส่ให้เต็มถุงดำ อัดให้แน่น รดน้ำตามทันที เลี้ยงไว้ในที่ร่มให้น้ำวันเว้นวัน ประมาณ 1 เดือนจะเริ่มมีรากงอกออกมาและเจริญเติบโตเป็นต้นกล้า
จึงย้ายไปปลูกในกระถางขนาด 15 นิ้ว ใช้หญ้าแห้งหรือฟางคลุมวัสดุปลูกไว้ รดน้ำตามทันที นำไปวางเลี้ยงไว้กลางแจ้ง ให้ใช้อิฐบล็อกวางรองก้นกระถางไว้ด้วย เพื่อป้องกันรากชอนไชลงพื้นดิน ระหว่างนี้คอยหมั่นเติมวัสดุปลูกซึ่งเป็นอาหารของต้นไม้ผลไม่ให้ยุบด้วย
ส่วนการดูแลระวังรากเน่า แนะนำให้น้ำเพียง 3 วันครั้งเท่านั้น
บำรุงต้นด้วยปุ๋ยสูตรเสมอเดือนละครั้ง ครั้งละ 1 ช้อนชาก็พอ ต้องระวังไม่ใส่ปุ๋ยชิดโคนต้น เพราะจะทำให้รากไหม้ได้
เมื่อต้นไม้ผลอายุประมาณ 2 ปี ก็เก็บผลผลิตได้ จะเร็วกว่าการปลูกลงดินถึงเท่าตัว
การปลูกไม้ผลในกระถางแบบนี้ สามารถควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยช่วยให้ได้ผลไม้ที่มีรสชาติดีกว่าการปลูกในดิน ลดปัญหาโรคทางดินที่เกิดขึ้นได้ และยังเคลื่อนย้ายไปตั้งตามจุดต่าง ๆ เพื่อเป็นไม้ประดับได้อย่างง่ายดายด้วย
การปลูกไม้ผลในกระถางแบบนี้ สามารถควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยช่วยให้ได้ผลไม้ที่มีรสชาติดีกว่าการปลูกในดิน ลดปัญหาโรคทางดินที่เกิดขึ้นได้ และยังเคลื่อนย้ายไปตั้งตามจุดต่าง ๆ เพื่อเป็นไม้ประดับได้อย่างง่ายดายด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)