ปัจจุบันเกษตรกรที่ปลูกผักในพื้นที่ 1-5 ไร่ นิยมวางระบบน้ำในแปลงปลูก เพื่อลดการใช้แรงงานกัน แต่หลายรายก็มีปัญหา วางระบบน้ำไม่ถูกวิธี ทำให้การให้น้ำผักไม่ทั่วถึง ผลผลิตโตช้า และสิ้นเปลืองน้ำโดยเปล่าประโยชน์ มีคำแนะนำดีๆ จาก
คุณวิทยา สุขจาดนายช่างเครื่องกลชำนาญงาน ศูนย์ส่งเสริมวิศวกรรมเกษตรที่ 1 จังหวัดชัยนาท
ในการวางระบบน้ำ และเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม ที่จะช่วยให้ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
คุณวิทยา แนะนำว่า ควรเริ่มต้นจากการเลือกระบบน้ำให้เหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูก หากเป็นพืชที่มีการปลูกเป็นแถวเป็นแนว ที่กำหนดระยะห่างระหว่างต้นและแถว แนะนำให้ใช้ระบบน้ำหยด ส่วนแปลงผักที่ปลูกเป็นแปลง ควรใช้ระบบมินิสปริงเกลอร์ แต่หากเกษตรกรต้องการให้ปุ๋ยไปพร้อมๆ กับการให้น้ำ ไม่ควรเลือกใช้ระบบมินิสปริงเกลอร์สำหรับผักกินใบบางชนิด เพราะสารละลายปุ๋ยเคมี อาจทำให้ใบผักไหม้ได้
คุณวิทยา แนะนำว่า ควรเริ่มต้นจากการเลือกระบบน้ำให้เหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูก หากเป็นพืชที่มีการปลูกเป็นแถวเป็นแนว ที่กำหนดระยะห่างระหว่างต้นและแถว แนะนำให้ใช้ระบบน้ำหยด ส่วนแปลงผักที่ปลูกเป็นแปลง ควรใช้ระบบมินิสปริงเกลอร์ แต่หากเกษตรกรต้องการให้ปุ๋ยไปพร้อมๆ กับการให้น้ำ ไม่ควรเลือกใช้ระบบมินิสปริงเกลอร์สำหรับผักกินใบบางชนิด เพราะสารละลายปุ๋ยเคมี อาจทำให้ใบผักไหม้ได้
สำหรับพื้นที่ปลูกผักที่ไม่เกิน 1 ไร่ ควรเลือกใช้ปั๊มน้ำขนาด 1 นิ้ว
แต่หากมีพื้นที่ 3ไร่ขึ้นไป จนถึง 10 ไร่ ให้ใช้ปั๊มน้ำขนาด 2 นิ้ว และควรติดตั้งระบบกรองน้ำด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ท่อน้ำอุดตัน
ส่วนท่อน้ำที่ใช้ สำหรับท่อหลักที่ต่อจากปั๊มน้ำและแหล่งน้ำ ให้ใช้ท่อพีวีซีขนาด 2 นิ้ว และท่อรองที่ต่อแยกจากท่อหลัก ใช้ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้วครึ่ง ทนแรงดันน้ำที่ระดับชั้น 5 ซึ่งเป็นท่อที่มีราคาค่อนข้างถูก
สำหรับวิธีวางที่ถูกต้องควรฝังลงในพื้นดิน เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ที่อาจทำให้ท่อเสื่อมคุณภาพเร็ว
ส่วนท่อย่อยที่ต่อจากท่อรองเข้าแปลงปลูกย่อย ๆควรเลือกใช้ท่อพีอี ขนาด 16-32 มิลลิเมตร เพราะสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่าการใช้ท่อพีวีซี
ทั้งนี้การลงทุนอุปกรณ์ทั้งระบบสำหรับระบบน้ำหยด จะอยู่ที่ไร่ละประมาณ 10,000 บาท และระบบมินิสปริงเกลอร์ไร่ละ 6,000 บาท หากมีการบำรุงรักษาอย่างดี ก็จะใช้งานได้นาน 5 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้การลงทุนอุปกรณ์ทั้งระบบสำหรับระบบน้ำหยด จะอยู่ที่ไร่ละประมาณ 10,000 บาท และระบบมินิสปริงเกลอร์ไร่ละ 6,000 บาท หากมีการบำรุงรักษาอย่างดี ก็จะใช้งานได้นาน 5 ปีขึ้นไป
นอกจากจะเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสมแล้ว ต้องมีการคำณวนการให้น้ำที่เหมาะสมกับพืชและสภาพดินด้วย ก่อนตัดสินใจวางระบบน้ำ จะได้ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการรื้อและวางระบบใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น